Archanwell
รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

ถือหลายสัญชาติ : เป็นภัยต่อรัฐจริงหรือ ? ผิดกฎหมายจริงหรือ ?


เป็นบทความที่เขียนไว้นานแล้ว แต่อยากเอามาลงเพื่อให้นักศึกษาในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลที่จะสอนในวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ได้อ่าน เรื่องของคนหลายสัญชาติเป็น "ปัญหาของการพัฒนาในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง" และเป็น "โอกาสในการพัฒนาในสายตาของคนอีกกลุ่ม" แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างไรกันแน่ ?
          ในบรรยากาศของการก่อการร้ายที่คุกคามภาคใต้ของประเทศไทย แนวคิดเรื่องคนหลายสัญชาติถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาหลายครั้ง มีข้อเสนอให้รัฐไทยถอนสัญชาติไทยของบุคคลที่ถือสัญชาติไทยควบคู่ไปกับสัญชาติของรัฐต่างประเทศมาเลเซีย    คนสอนกฎหมายสัญชาติก็รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องที่อยู่นิ่งเฉยได้ลำบาก  มีหลายคำถามที่ขออนุญาตตั้งคำถามและเสนอแนะต่อผู้บริหารรัฐไทยในวันนี้
        ทำไมคนหนึ่งคนจึงมีหลายสัญชาติได้ ?
         คำตอบก็คือ กฎหมายของรัฐหลายรัฐต่างก็ให้สัญชาติของตนแก่บุคคลคนเดียว  โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล รัฐหนึ่งย่อมมีอำนาจอธิปไตยที่จะกำหนดว่า บุคคลในลักษณะใดย่อมมีสัญชาติของตน และในแนวปฏิบัติของสังคมมนุษย์ที่เติบโตมาเป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่ยอมรับกันในทุกรับว่า รัฐหนึ่งๆ มักให้สัญชาติแก่คนที่มีจุดเกาะเกี่ยวอย่างแท้จริงกับตน ซึ่งในสังคมดั่งเดิมที่การเดินทางข้ามชาติแทบจะไม่เกิด ปัญหาคนหลายสัญชาติก็จะไม่เกิดให้เป็นที่ลำบากใจ
         เราจะมีความเข้าใจในหลักกฎหมายที่กล่าวจะมากขึ้น หากเราวิเคราะห์ผ่านตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง 
           ตัวอย่างแรก ก็คือ เรื่องของนายแดงซึ่งเกิดในประเทศไทยจากพ่อแม่ที่มีเชื้อชาติไทยและเกิดในประเทศไทยอีกด้วย และแม้เมื่อเติบใหญ่ นายแดงก็ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทย และก่อตั้งครอบครัวกับคนสัญชาติไทย จะเห็นว่า โดยการเกิดและภายหลังการเกิด ทุกจุดเกาะเกี่ยวในชีวิตนายแดงก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย จึงเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่า นายแดงย่อมมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับประเทศไทย รัฐไทยไม่รู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับว่า นายแดงมีสัญชาติไทย จึงไม่มีใครเลยสักคนขึ้นขึ้นมาสงสัยว่า นายแดงไม่มีสัญชาติไทย
          จะเห็นว่า บุคคลในสถานการณ์เดียวกับนายแดง ก็คือ คนข้างมากในสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีโอกาสที่จะมีหลายสัญชาติ ความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันอาจจะอยู่ที่จำนวนของคนหลายสัญชาติ ในอดีต คนหลายสัญชาติแทบจะไม่มีเพราะแทบจะไม่เกิดการข้ามชาติของบุคคลธรรมดา ในปัจจุบัน คนหลายสัญชาติมีมากขึ้นแม้จะยังมิใช่กรณีข้างมากของประเทศไทย เพราะการข้ามชาติของคนไทยออกไปนอกประเทศก็มีมากขึ้นและการข้ามชาติเข้ามาในประเทศไทยของคนต่างด้าวก็มากขึ้น 
         ดังนั้น ผลของเรื่องจึงทำให้รัฐหนึ่งรัฐอาจทำให้คนหนึ่งคนมีหลายสัญชาติในขณะเดียวกัน หรืออาจทำให้คนหนึ่งคนอาจไม่มีสัญชาติของรัฐใดเลย กล่าวคือ คนๆ นี้ ย่อมตกเป็นคนไร้รัฐสัญชาติ (Nationalityless Person)  มันจึงไม่อาจเป็นความผิดของคนๆ นั้นที่เขาจะมีหลายสัญชาติหรือไร้สัญชาติ  สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อทั้งตัวบุคคลนั้นเองหรือต่อรัฐที่เกี่ยวข้อง  ปัญหาความมีหลายสัญชาติอาจทำให้บุคคลได้รับความคุ้มครองจากหลายรัฐหรืออาจใช้ทรัพยากรในฐานะคนชาติในหลายรัฐ ในขณะที่ปัญหาไร้สัญชาติอาจทำให้บุคคลปราศจากความคุ้มครองจากทุกรัฐที่เกาะเกี่ยวกับตน และตกเป็นคนต่างด้าวในทุกรัฐบนโลกนี้
         ตัวอย่างในประเทศไทยของกรณีก็มีให้เห็นได้ในหลายปรากฏการณ์
          อาทิ มนุษย์คนหนึ่งชื่อ “แมรี่” เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกาจากบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายและมารดาซึ่งมีสัญชาติไทย   ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่คนสองสัญชาติทันที กล่าวคือ กฎหมายไทยยอมรับว่า แมรี่มีสัญชาติไทย ในขณะที่กฎหมายอเมริกันก็ยอมรับว่า แมรี่มีสัญชาติอเมริกัน  โดยกฎหมายสัญชาติไทย แมรี่มีสถานะเป็น “คนไทยโดยหลักสืบสายโลหิต” กรณีอย่างนี้มีมากมายในยุคปัจจุบัน โดยข้อเท็จจริง แมรี่อาจจะรักประเทศสหรัฐอเมริกันมากกว่าประเทศไทย พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ ไม่เคยมาเห็นแผ่นดินไทยสักครั้ง          ความผูกพันกับประเทศไทยโดยข้อเท็จจริงก็ไม่มี แต่ก็ไม่มีกฎหมายไทยที่ให้อำนาจรัฐไทยที่จะถอนสัญชาติของคนไทยโดยหลักสืบสายโลหิตอย่างแมรี่ เพราะเหตุที่ดันมีหลายสัญชาติ หรือแม้ว่าบุคคลในลักษณะนี้จะมีการกระทำที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐไทยอย่างใดก็ตาม  ก็ไม่ปรากฏมีกฎหมายใดให้อำนาจแก่รัฐไทยที่จะถอนสัญชาติไทยของบุคคลในสถานการณ์ดังกล่าว
          หรือ คำถามย้อนกลับมาถึงมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ชื่อ “กาเซ็ม” ซึ่งเกิดในประเทศมาเลเซีย จากบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีมาเลเซียแต่มีมารดาซึ่งมีสัญชาติไทย จะเห็นว่า โดยกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ กาเซ็มย่อมเป็นบุคคลในสถานการณ์เดียวกันกับแมรี่  กล่าวคือ เป็นคนไทยโดยหลักสืบสายโลหิตเช่นกัน  แต่เป็นที่น่าสงสัยว่า  นโยบายของรัฐไทยในปัจจุบันที่มีต่อแมรี่และกาเซ็มจะแตกต่างกันหรือไม่ ?
        ในสังคมไทย คำว่า “ภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ” ดูจะเป็น “ถ้อยคำ” ที่ปาใส่ใครได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเขาคนนั้นคิดต่างไปจากผู้ถืออำนาจในการปกครองประเทศ 
         เมื่อศึกษากฎหมายระหว่างประเทศ จะพบว่า สิ่งที่กฎหมายระหว่างประเทศต่อต้านก็คือ การที่รัฐนั้นใช้อำนาจตามอำเภอใจที่จะถอนสัญชาติของมนุษย์ เพราะเหตุว่า การกระทำเช่นนั้นอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้เกิด “ความไร้รัฐ” (Statelessness) หรือ “ความไร้สัญชาติ”  (Nationalitylessness)  แก่มนุษย์
          โดยพิจารณาทางปฏิบัติของนานารัฐบนโลกในปัจจุบันนี้ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะกฎหมายระหว่างประเทศประเภทจารีตประเพณีระหว่างประเทศ จึงพบว่า รัฐจะไม่ถอนสัญชาติของคนชาติโดยหลักสืบสายโลหิต แม้บุคคลนั้นจะเลวทรามต่ำช้าประการใด การประหารชีวิตให้สิ้นสุดลงอาจเกิดได้ต่อคนชาติในหลายประเทศ แต่การถอนสัญชาติให้คนชาติโดยหลักสืบสายโลหิตให้ตกเป็นคนไร้รัฐทั้งโดยข้อเท็จจริงหรือโดยข้อกฎหมาย เป็นสิ่งที่อารยประเทศผู้เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ไม่กระทำ เนื่องจากการตกเป็น “คนไร้รัฐ” ย่อมทำให้มนุษย์ไม่อาจได้บริโภค “สิทธิมนุษยชน” อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
         แค่เป็นคนสองสัญชาติไม่น่าจะเป็นเหตุแห่งการถอนสัญชาติไทย ในยุคที่การข้ามชาติเป็นเรื่องทำได้ง่ายและไม่นานนัก การไปมีความสัมพันธ์กับรัฐต่างประเทศ อาทิ การมีบุพการีฝ่ายหนึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือคู่สมรสเป็นคนต่างด้าวหรือการไปตั้งรกรากในต่างประเทศ จึงไม่อาจหมายความโดยอัตโนมัติว่า บุคคลจะสิ้นความผูกพันกับประเทศไทยเสมอไป หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นประสงค์ร้ายต่อสังคมไทยโดยทันที   ในขณะเดียวกัน ความเป็นภัยต่อรัฐไทยอาจเกิดขึ้นได้แม้บุคคลนั้นมีสัญชาติไทยแต่เพียงสัญชาติเดียว เพราะไม่มีความสัมพันธ์กับรัฐต่างประเทศเลย กล่าวคือ มีบุพการีเป็นคนไทยหรือคู่สมรสก็เป็นคนไทยหรือบ้านเรือนตั้งรกรากในประเทศไทย โดยสรุป การมีหลายสัญชาติและความเป็นภัยต่อรัฐเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน  การเอาเหตุที่มีหลายสัญชาติมาเป็นเหตุให้ถูกถอนสัญชาติไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีเหตุผล
         นอกจากข้อท้วงติงทางกฎหมาย ก็ยังจะท้วงติงทางจิตวิทยาด้วยว่า ควรที่รัฐบาลจะคำนึงถึงจิตใจของคนในสถานการณ์เดียวกับกาเซ็มคนหลายสัญชาติในมาเลเซียซึ่งอาจจะสะเทือนใจในข่าวที่ออกมาจากรัฐบาลที่ดูรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขาเสียเหลือเกิน มันผิดด้วยหรือที่กาเซ็มจะรักทั้งแผ่นดินมาเลเซียของบิดาและแผ่นดินไทยของมารดา ? การคงไว้ซึ่งสัญชาติไทยและมาเลเซียในชีวิตของกาเซ็มเป็นไปไม่ได้หรือ ?  หากจะมีคนหลายสัญชาติสักคนที่เป็นภัยต่อรัฐ ก็ควรที่จะจัดการปราบปรามลงโทษคนหลายสัญชาติคนนั้นในลักษณะเดียวกับคนที่มีสัญชาติไทยแต่สัญชาติเดียวปัญหาจริงๆ ก็คือ ความไม่มั่นคงของชายแดนไทย-มาเลเซียเกิดจากระบบการควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายยังไม่มีประสิทธิภาพนักมิใช่หรือ ? ความไม่สงบของภาคใต้เกิดจากระบบข่าวกรองการก่อการร้ายยังไม่มีประสิทธิภาพนักมิใช่หรือ ? ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในภาคใต้เกิดจากขบวนการก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวในภาคใต้มิใช่หรือ ? ดังนั้น การแก้ปัญหาก็น่าจะมุ่งไปที่สาเหตุของปัญหาอันได้แก่ (๑) การเสริมประสิทธิภาพในระบบควบคุมการผ่านแดนไทย-มาเลเซียของบุคคลทุกคน (๒) การตรวจระบบข่าวกรองให้มีศักยภาพมากขึ้น และ (๓) การติดตามบุคคลที่การข่าวระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย หรือแม้จับกุมคนที่มีการกระทำที่เป็นภัยโดยชัดแจ้ง หรือแม้ถอนสัญชาติไทยของคนที่เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริงหากสัญชาติที่จะถอนนั้นมิใช่สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตและไม่ทำให้บุคคลนั้นตกเป็นคนไร้สัญชาติ
          สิ่งที่ไม่อยากเห็นอีก  ก็คือ นโยบายแบบคลุมๆ เครือๆ ต่อคนหลายสัญชาติในภาคใต้  ซึ่งมันน่าจะเป็นการทำลายความมั่นคงของรัฐมากกว่านะ
---------------------------------------
รายละเอียดของบทความ
ถือหลายสัญชาติ : เป็นภัยต่อรัฐจริงหรือ ? ผิดกฎหมายจริงหรือ ?โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, เริ่มเขียนตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ และเขียนเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๘, เผยแพร่ในมติชนรายวันเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9835และใน http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=120&d_id=120 และ http://gotoknow.org/blog/people-management/39494
------------------------------------
หมายเลขบันทึก: 39494เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2006 15:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 14:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท