เรื่องฝากจากพี่อ้อ ในการลงพื้นที่ค่ะ เป็นความแง่งามของการทำงานกับผู้คน ที่ใช้ความเป็นคนสัมผัสสิ่งรอบตัว
จากการรับรู้ของหนูการเดินทางในครั้งนี้ท่านไม่ได้ตั้งตัว แต่ก็ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ลองอ่านดูนะคะ ท่านส่งมาให้หนูตามข้างล่างเลยค่ะ
เรื่องเล่าจาก ไอดิน
ผลิตผลที่ฝากไว้ให้คิดถึง
“เซา ๆ ลุกอย่าไห่”
เป็นคำพูดของชายวัยกลางคน ที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นและห่วงใย หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก ๆ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า คำพูดนี้หน้าจะเป็นคำพูดของผู้หญิง ซึ่งได้ชื่อว่า “แม่” เสียมากกว่า
ไม่คุ้นเคยกับการได้ยินเสียงผู้ชายโอ๋เด็กให้หยุดร้อง จนกระทั่งต้องเดินไปอีกห้องหนึ่ง เพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอุ้มเด็กอายุประมาณ 6 เดือน อยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับมือหนึ่งถือเครื่องมือพ่นยาเพื่อช่วยขยายหลอดลม จึงถามไปว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนั้นจึงตอบว่า
“เป็นไข้หวัด มีเสมหะมาก หายใจไม่ออก หมอจึงพ่นยาให้”
จึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพที่เห็นนั้นรู้สึกทรมารใจมากเป็นพิเศษ เพราะตัวเองก็เป็นโรคหอบตั้งแต่เกิด การกินยาประจำทุกวันตั้งแต่จำความได้ การได้พ่นยา ถึงแม้ว่ามันจะช่วยให้ดีขึ้นแต่หลังจากหมดฤทธิ์ยามันก็กลับมาเหมือนเดิม จนกว่าสภาพร่างกายจะแข็งแรงขึ้น เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า
“เกิดมาเราทำไมถึงโชคร้ายนัก คงทำกรรมไว้เยอะมากถึงได้เป็นโรคที่ต้องทนทุกข์ทรมารขนาดนี้ ”
และคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นชายร่างท้วม อายุประมาณ 50 กว่า ๆ สภาพการแต่งตัวเหมือนกับขึ้นมาจากการทำนามา ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด สายตาจับจ้องอยู่กับเด็กคนนั้น ด้วยแววตาที่สุดแสนจะห่วงใย และเป็นทุกข์ ในมือหนึ่งถือของเล่น อีกมือหนึ่งถือขวดนม ปากก็พูดไปเรื่อย ๆ เพื่อจะให้เด็กหยุดร้อง หันมาหาดิฉันแล้วก็พูดออกมาว่า
“พ่อกับแม่ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ นี่คือผลผลิตที่ฝากไว้ให้ดูแล”
จากนั้นก็หันไปโอ๋หลานต่อ โดยไม่สนใจใคร ดิฉันจึงกลับมานั่งที่เดิม และนี่ก็คือสภาพสังคมของคนอีสานที่ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ที่มา รพ.สต.
นี่คือผลผลิตที่ฝากไว้ให้ดูแล...
สะท้อนภาพสังคมของคนอีสานได้ชัดเจนมากครับ
เห็นแล้วสงสารเด็กๆ จังเลยครับ
ขอบคุณครับ
จะว่าไปก็เป็นอีกมุมหนึ่งของวิถีชีวิต
ที่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "มีอยู่จริงนะคะ"
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และมองข้ามไม่ได้จริง ๆ (^_^)