ผมรับปากกับ อ.หน่อง - เธียรชัย อิศรเดช เพื่อนผู้พี่ ผู้กำกับละครเวที “ลาบเลือดเดือดร้อน” ที่ผมมีโอกาสไปดูในรอบท้าย ๆ ที่แสดงที่มหาวิทยาลัยรังสิต ว่าจะเขียนแสดงความคิดเห็นอะไรสักอย่าง
จริง ๆ แล้วผมจะต้องเขียนหลังจากชมละครเสร็จแล้ว อ.หน่อง ยัดกระดาษใส่มือผมกับ อ.กวาง - ภรรยาผม คนละแผ่น ให้เขียนสะท้อน อ.กวางเขียนเสร็จแล้วผมยังนึกไม่ออก ผมบอกว่าจะกลับมาคิดแล้วเขียนสะท้อนให้
ความไม่เอาไหนของผมทำให้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน จนบรรยากาศที่อินนั้นค่อยจางลงไปแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ต้องเขียน
อ.หน่อง บอกที่มาของละครเวทีนี้ว่า สะเทือนใจกับเหตุการณ์กลางเมืองที่เกิดขึ้น ด้วยคุณแม่ของอาจารย์ติดอยู่ในที่พักหลังโรงพักลุมพินี ขณะที่ อาจารย์เดินทางไปพักผ่อนที่ จ.ตาก การติดต่อทางโทรศัพท์ถามไถ่กับคุณแม่เป็นระยะก็ไม่คลายความกังวลใจของอาจารย์ลงไปได้
หลังชมละครเสร็จแล้ว ผมนั่งคุยกับ อ.หน่อง ด้วยเวลาเล็กน้อย เนื่องจากต่างคนต่างติดภารกิจ อาจารย์บอกว่าในละครนี้มีเรื่องของผมและภรรยาด้วย ภรรยาผมแก้เก้อบอกไปว่า “ใครมาก็มีทุกคนแหละ ผู้กำกับเขาเก่งนี่...”
อ.หน่อง คลายข้อสงสัยประการหนึ่งของผม และทำให้ผมทึ่งกับเพื่อนผู้พี่คนนี่มาก ๆ นั่นคือ มิได้แต่งเรื่องราวของละครหรือเขียนบทไว้ก่อน ในใจมีเพียงโครงเรื่องคร่าว ๆ การเขียนบทเริ่มขึ้นหลังจากทาบทามนักแสดงได้ แล้วศึกษาบุคลิคภาพของผู้แสดงแต่ละคน จึงค่อยเขียนโดยให้สอดคล้องกับบุคลิคของแต่ละคน ผมว่านี่ไม่ธรรม ละครเวทีที่ปรากฏกับสายตานั่นธรรมดาเสียเมื่อไร
อ.หน่องเล่าว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการ ม.รังสิต มาชมการแสดงในรอบแรกด้วย ผมเดินไปดูที่ ดร.อาทิตย์ เขียนความคิดเห็นไว้ที่บอร์ด ประมาณว่าละครนี้ดี ประมาณว่าสะท้อนสัจธรรม อ.หน่องบอกด้วยว่า ดร.อาทิตย์ ถามหาคนเขียนบท บอกว่าอยากพบ อยากคุยด้วย ซึ่งเพื่อนผู้พี่ผมเฉยเมยมากถึงมากที่สุด
แหะ แหะ เขียนมาจนถึงนี้แล้วยังนึกไม่ออกว่าจะแสดงความคิดเห็นต่อละครนี้อย่างไร
เรื่องย่อของละครมีดังนี้ครับ
บักตื้อหนุ่มชาวอีสาน เป็นทหารตรึงกำลังอยู่บนถนนกลางเมืองในขณะที่มีการปะทะกันรุนแรง และยังไม่มีวี่แววว่าจะสงบ
พ่อกับแม่บักตื้อ ทราบข่าวว่าลูกชายอยู่ในสนามรบในเมืองกรุง จึงหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง โดยเฉพาะเครื่องครัวสำหรับทำลาบเลือดและส้มตำมาเยี่ยมถึงสมรภูมิ
มาถึงที่ลูกชายอยู่ จึงปูเสื่อข้างถนนทำอาหารทั้งลาบเลือดและส้มตำแล้วก็ร้องเรียกผู้คนให้มากินร่วมกัน ใครผ่านไปผ่านมาไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนนางเรียกมากินลาบเลือดและส้มตำที่นางทำอย่างตั้งใจ กระทั่งเป็นวงขนาดใหญ่ ในขณะที่แต่ละคนล้อมวงกินนั้นต่างก็ลืมความขัดแย้งไปสิ้น แม้ว่าบางคนจะอยู่กันคนละข้าง กระทั่งนักข่าวทั้งไทยและเทศต่างมารุมทำข่าว
วงลาบเลือดและส้มตำ ดำเนินไปอย่างมีมิตรภาพ แม่บักตื้อไม่เพียงบำบัดความหิวเท่านั้น แต่ยังช่วยบำบัดความทุกข์ของแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมวงคนหนึ่งด้วย เนื่องจากเธอไม่กล้าที่จะถ่ายทุกข์ (เบา) ท่ามกลางสมรภูมิที่ไม่มีห้องส้วมมิดชิด
สิ้นสุดการกินลาบและส้มตำเสียงปืนดังสนั่น ทุกคนล้มตายด้วยกระสุนปืนเริ่มจากแม่บักตื้อเป็นคนแรก
แล้วละครก็จบลง
เท่าที่คิดเร็ว ๆ ต่อละครเวทีนี้ ผมคิดว่าละครเวทีนี้สะท้อนท่าทีและพฤติกรรมของคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมเมื่อเผชิญสถานการณ์เดียวกันได้ดีทีเดียว มีเสียดสีบ้าง
ประเด็นนี้ ละครสะท้อนว่ายิ่งมีสถานภาพในสังคมสูงก็ยิ่งรักษาหน้าตาตัวเองไว้ คุณหมอคนหนึ่งเป็นทุกข์มากกับการปวดปัสสาวะแต่ก็กลั้นเอาไว้จนถึงที่สุด ขณะที่หญิงชาวบ้านอย่างแม่บักตื้อเพียงถลกผ้าถุงนั่งยองแล้วก็ปล่อยออกมาอย่างสบายใจเฉิบ
สิ่งที่สะท้อนได้ดีอีกประการหนึ่ง คือ การทำหน้าที่ของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อไทยหรือสื่อเทศก็มั่วซั่วพอกัน อ่อนด้อยทั้งฝีมือและความตั้งใจ
ที่ผมชอบมากคือ การทำหน้าที่ของหน่วยกู้ภัย ละครสะท้อนว่าชายหนุ่มจากหน่วยกู้ภัยอยากจะทำหน้าที่ทั้งที่ไม่มีภัยให้กู้ ในใจเขาคิดว่าทำอย่างไรจะเกิดภัยเขาจะได้มีงานทำ
ประเด็นนี้สะท้อนสังคมได้สะใจผมมาก ผู้คนจำนวนมากมายในบ้านเราโดยเฉพาะข้าราชการ ก็เป็นอย่างชายหนุ่มจากหน่วยกู้ภัยคนนี้ เต็มประเทศไปหมด
ผมพยายามนึกถึง “สัจธรรม” ที่ ดร.อาทิตย์ กล่าวถึง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก นอกจากการสะท้อนว่าทุกคนเกิดมาแล้วตาย และท่าทีของคนตามที่ผมกล่าวข้างต้น
สำหรับความเห็นเกี่ยวกับนักแสดง
ผมไม่มีความรู้เรื่องละครเวที เรื่องการแสดง แต่ก็ประทับใจกับการแสดงของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะนักแสดงที่รับบทเป็นแม่บักตื้อ และเมื่อรู้ว่านักแสดงจำนวนมากเพิ่งจะเล่นละครเวทีครั้งนี้เป็นคราวแรก ก็ยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่
ประเด็นข้างต้นนี้นอกจากปัจจัยจากตัวนักแสดงเองแล้ว ผมว่าผู้กำกับสุดยอดนะครับ คิดและทำได้ไงศึกษาบุคลิกนักแสดงก่อนเขียนบท ที่มาของการแสดงได้อย่างสมบทบาทของแต่ละตัวละคร
ผมพบพฤติกรรมน่ารังเกียจประการหนึ่งในการแสดงละครเวทีเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบที่ผมชมหรอกครับ ผู้ใหญ่ในมหาวิทยัลคนหนึ่งพาพวกมาเบ่งเข้าชมฟรี ทั้งที่บัตรเข้าชมราคาเพียงแค่ ๓๐ บาท
ผมคิดได้แค่นี้ครับ
ได้คติและทำให้เห็นวิถีชาวบ้านเราว่า ถึงแม้จะคิดต่าง แต่สามารถล้อมวงกินข้าวด้วยกันได้
สวัสดีค่ะ
ชื่อน่ากลัวนะคะ พี่ดาแวะมาบอกคลิกอ่าน....
ประสบการ์ผู้ใช้น้ำมันมะพร้าว มีภาพต่อมลูกหมากด้วยนะคะ
http://gotoknow.org/blog/kanda01/394297
สวัสดีครับ พี่แก้ว
ความคิดเห็นของพี่แก้วเป็นแบบเดียวกับผู้กำกับและเขียนบทเลยครับ
นางได้เผยให้เห็นความคิดแบบคนไทยพื้นบ้านว่าไม่ได้มองความขัดแย้งทางความคิดว่าเป็นปัญหายิ่งไปกว่าการกินอยู่และการขับถ่ายที่เป็นทุกข์แท้
สวัสดีครับ พี่ดา
ชื่อออกจะน่ากลัวอยู่ครับ
สักพักจะเข้าไปอ่านบันทึกที่แนะนำมานะครับ
พี่ดาสบายดีนะครับ...
อรุณสวัสดิ์ค่ะ
วันนี้บ้านหนูรีฟ้าคลื้มๆค่ะ
แวะมาชมละคร สักหน่อย น่าสนุกน่ะ ...พร้อมมาส่งขนม "สักถ้วยน่ะค่ะ"
สวัสดีครับคุณหนูรี
เข้าไปอ่านวิธีการทำมาแล้วครับ
สักวันนึงคงได้ทำให้เฌวากินครับ
สวัสดีค่ะ
นึกถึงหน้าอาจารย์หน่อง "ท่าเฉยเมย" ได้กระจ่างชัดมาก ๆ และย้อนกลับไปถึงอิริยาบถ "วงกาแฟ" อีกอย่าง อาจารย์หน่องเป็นคนจัดการความสุขได้ดีมาก ๆ
อยากเห็นการแสดงตรงนี้จัง.....การทำหน้าที่ของหน่วยกู้ภัย ละครสะท้อนว่าชายหนุ่มจากหน่วยกู้ภัยอยากจะทำหน้าที่ทั้งที่ไม่มีภัยให้กู้ ในใจเขาคิดว่าทำอย่างไรจะเกิดภัยเขาจะได้มีงานทำ
การแสดงนี้สะท้อนให้เห็น "การมีหน้ากากกับการไร้หน้ากาก" นะคะ
สวัสดีครับ พี่คิม
ไปห้วยปลาหลดคราวหน้าว่าจะชวน อ.หน่องไปด้วย
เพือนพฤศจิกายน นี้มีงานเทศกาลละครกรุงเทพฯ มีละครเวทีดี ๆ ให้ดูเยอะเลยครับ
มีจังหวะมากรุงเทพฯ ช่วงนั้นจะพาตะเวณดูละครให้ฉ่ำใจไปเลย...
สวัสดีครับ