มุมมองและแนวคิดในการหาเสียงเลือกตั้งของศ.ดร.สุรพงษ์ โสธะเสถียร
สรุป ตามแนวคิด กระต่ายใต้เงาจันทร์
บทที่ 1 บริบทการหาเสียงเลือกตั้ง
มักจะเป็นรูปแบบการโฆษณาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ตามการพัฒนาการการเมืองแต่ละท้องถิ่น ว่ากันตามจริงคือ พรรคการเมืองไหนที่มีฐานเสียงอยู่จังหวัดนั้นก็จะเอื้อประโยชน์ให้ตัวนักการเมืองและพรรคเป็นอย่างมากในการหาเสียง
การโฆษณาหาเสียงจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการช่วงชิงอำนาจและความได้มาเพื่อสนองความต้องการของนักการเมืองและพรรค จนทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในการดำเนินการซึ่งผู้มีอำนาจทางชนชั้นการเมือง มีพวกพ้องและมีเงินมักจะได้เปรียบชนชั้นที่อ่อนด้อยกว่าในเรื่องเหล่านี้ การสื่อสารจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นและบ่งบอกให้ประชาชนรู้ในสิ่งที่ตัวเองนำเสนอ
รูปแบบของการสื่อสารมักออกมาในรูปแบบการโฆษณาเพราะต้องการให้ประชาชนเข้าใจ โดยชูนโยบายตรงกับความต้องการของประชาชนเพื่อให้ประชาชน พอใจและเลือกตนเข้าไปบริหารประเทศและจัดตั้งรัฐบาล
การหาเสียงจึงเหมือนการขายสินค้า
นโยบายคือ สินค้าที่นำเสนอ
ในการหาเสียงมักนำหลักการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การตลาดแบบบูรณาการมาประยุกต์โดยทำทุกวิถีทางให้ประชาชนเข้าใจว่า นี่คือ พรรค เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ ตรา ยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นการรับสมัครสมาชิก พรรค โดยแจกเสื้อที่มีโลโก้และสัญลักษณ์ให้สมาชิกทุกคนเพื่อให้ประชาชนรู้ว่า นี่คือ ชื่อพรรค นี่คือ สัญลักษณ์ของพรรค หรือ แล้วแต่กุศโลบายของแต่พรรคที่จะนำมาใช้
สรุปง่ายๆพรรคคือ ตัวแทน สัญลักษณ์ ตรา ยี่ห้อ
นักการเมือง คือ สินค้า
ประชาชน คือ ผู้บริโภค
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการตลาดและเจาะกลุ่มเป้าหมาย โดยระดมทั้งกำลังสมองและกำลังทรัพย์ ผ่านรูปแบบต่างๆของการสื่อสารไม่ว่าทางใด เพื่อให้ ประชาชนสนใจซื้อและเลือก พอใจในตน จึงจำเป็นต้องมีผู้รู้ ผู้เชียวชาญและวางแผนในรูปแบบของตลาดการเมือง
จะเห็นว่า การเลือกตั้ง มีการพัฒนาปฎิรูปในปีทศวรรษที่90 ทั่วโลกเกิดกระแสการปฎิรูปการเมืองการปกครอง เมื่อโซเวียตรัสเซียล่มสลาย จึงมีการคัดเลือกผู้ปกครองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ว่า ญี่ปุ่น แม้กระทั่งไทย เพราะปัญหาจากการทุจริตในการเลือกตั้งและไม่โปร่งใสในการปกครอง
การปฎิรูปการเมืองที่ง่ายและเห็นรูปธรรมที่สุด คือ การเข้าไปปฎิรูปที่เป็นปัจจัยของระบบการเมืองนั่นหมายถึง กระบวนการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งประเทศไทยได้นำวิธีการเลือกตั้งแบบวุฒิสมาชิกแบบเก่าที่ญี่ปุ่นยกเลิกมาเป็นแม่แบบกระบวนการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกไทยในปัจจุบันและนำบางส่วนที่มาจาก การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกสภาผู้แทนของเยอรมันมาใช้
ดังนั้นการเลือกตั้งจึงประกอบด้วย 2 ส่วนคือ กระบวนการเลือกตั้ง กระบวนการโฆษณาหาเสียงซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้
ดังนั้นการปฎิรูปการเมืองจึงผ่านการปฎิรูปรัฐธรรมนูญจึงเป็นโครงสร้างส่วนบนเสียส่วนใหญ่ที่กำหนดมาจากฐานความคิดคนแทนที่จะแก้ไขส่วนล่างที่เกี่ยวกับประชาชนโดยตรง
รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีความเป็นจิตใจของรัฐและเข้าถึงประชาชนให้ประชาชนเข้าใจโดยง่าย
สูตรการเลือกตั้งการเมืองจึงประกอบด้วย 2 ส่วน คือ การจัดตั้ง ตามรูปแบบวิธีการลงคะแนนเสียงอย่างมีแบบแผนซึ่งแตกต่างกันมี 4 วิธี
1.การเลือกตั้งที่อาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือพหุนิยม ( marjority plurality system) คือ ผู้ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียว
2. แบบการเลือกตั้งผู้มีชัยชนะหลายคนหลายที่นั่ง( mulit-seat system) แบบนี้กาได้หลายเบอร์ตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตนั้นมักจะเรียงตามลำดับความสำคัญ
3.แบบการเลือกตั้งที่ไม่สามารถโอนคะแนนเสียงได้(nontransferable notion system-ntv) มีสิทธ์เลือกได้คนเดียว แต่ลงรับสมัครได้หลายคน ประเทศไทยได้นำมาใช้ในระบบวุฒิสภา
4.แบบสมาชิกสภาผู้แทนแบบสัดส่วน(propovienal representation system) เน้นการเลือกพรรคการเมือง พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค
โดยการเลือกตั้งแยกจำแนกตามพื้นที่
1.ขนาดเล็กที่นั่งเดียว 2. ขนาดกลางหลายที่นั่ง 3.ขนาดใหญ่เขตเลือกตั้ง มีหลายสิบที่นั่งแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ภูมิภาค ระดับประเทศ ในแบบบัญชีรายชื่อของไทยและเยอรมัน
การเลือกตั้งแบบพหุนิยมส่วนใหญ่มักมีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว
การเลือกตั้งแบบใหญ่เรียกว่า แบบรวมเขต
จึงจะเห็นได้ว่า พรรคที่มาจากชัยชนะการหาเสียง ด้วยการแสดงความชัดเจนประชาชนจะมองภาพออกและได้รับการไว้วางใจจากประชาชนจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ นโยบายของรัฐจะมาจากส่วนผสมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรค
จึงจะเห็นได้ว่าระบบการเมืองไทย มักมีการฮั้วและจัดสรรตำแหน่งกัน โดยอาศัยในรูปแบบการสื่อสารในภาพของการโฆษณาที่คำนึงถึงแต่การตลาด อาจจะทำในรูปแบบการวิจัย ชุมชน
กลุ่มเป้าหมาย การควบคุม และยังต้องมีทุนเพื่อชัยชนะ การสร้างภาพลักษณ์การเมืองจึงมีนายทุนเข้าแทรกแซงสนับสนุนปัจจัยด้านการลงทุนจนทำให้เกิดความผุกร่อนทางการเมืองขึ้นมา ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ มักมาในรูปแบบ ใบปลิว คำปราศรัย ออกอากาศ สถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ หรือแม้แต่โจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อชัยชนะตัวเอง
การหาเสียงด้วยการโฆษณาในปัจจุบันจึงต้องกำหนดและการรักษาภาพลักษณ์สัญญลักษณ์ของพรรคเพื่อให้อยู่ในใจประชาชนโดยอาศัยสื่อ
จึงจำเป็นที่ต้องเตรียมความพร้อมโดยจัดวางตัวผู้สมัคร ว่าผู้ใดควรลงเขตไหน มีฐานเสียงอยู่ที่ไหน ด้วยความเหมาะสม และต้องรูจักจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
จนถึงช่วงเวลาประกาศวันเลือกตั้งตามห้วงเวลาทีพระราชกฤษฎีกากำหนด โดยส่วนใหญ่มักเสนอ ผลงานในอดีต มีบางคน บางลักษณะที่ลงเลือกตั้งแบบฐานอำนาจเดิม ตามระบบอุปภัมป์ หรือระบบเส้นสาย
บทที่2 กรอบแนวคิดในการโฆษณาเลือกตั้ง
จะสังเกตได้ว่า นักการเมืองไทยด้อยคุณภาพลงทุกวัน ซึ่งส่วนนี้เราอาจได้มา จากการซื้อเสียง แจกเงิน โจมตี ฝ่ายตรงข้าม หรือเราได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียว แนวคิดการโฆษณาหาเสียงจึงจำแนกได้ 6 ประเด็นดังนี้ คือ
บทบาทและความสำคัญในการโฆษณาหาเสียง
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติและให้ความสำคัญของการโฆษณาหาเสียงโดยการห้ามให้มีการโฆษณาหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งวูฒิสภาเท่านั้น การเมืองไทยทั่วไปจึงมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น สื่อมวลชนจึงมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข่าวเพราะ สื่อมวลชนสามารถใส่ความคิดเห็นของตัวเองในการนำเสนอได้
พรรคการเมืองและนักการเมืองจึงต้องมีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน
ปัจจัยแวดล้อมในการหาเสียง คือ อิทธิพลของนักการเมือง พรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง เงิน สภาพแวดล้อม หรือแม้กระทั่งผู้รับข่าวสารจากสื่อ
เหมือนกับว่า พรรคใหญ่อยู่นาน ค่านิยม ดี มักจะได้เปรียบ ซึ่งเป็นมาตราฐานของพรรคที่คนนิยมชมชอบอย่างต่อเนื่องยาวนานจึงได้เปรียบ
ตลาดการเมืองเรื่องการเลือกตั้ง คือ การเปรียบเทียบประเด็นนโยบายของผู้สมัคร นโยบายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและมองไม่เห็นคือ เราได้บริโภคหรือเลือกเข้าไป ในสภาเป็นเรื่องของปรัชญาและอุดมการณ์
การสื่อสารทางการเมืองคือหัวใจที่สำคัญของระบบประชาธิปไตย ในหลายด้าน เช่น การวางแผน การหาเสียง การประสานงานโดยต้องดำเนินไปและอยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายเลือกตั้งด้วย
ขั้นตอนในการโฆษณาหาเสียง ต้องอาศัยเทคนิคพรสวรรค์ของผู้สมัครซึ่งจะต้องรู้เรื่องก่อนกฤษฎีกา ในการเลือกตั้ง ในเวลาการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง โดยผู้สมัครต้องได้รับการยอมรับความเห็นชอบของพรรคโดยทำเป็นขั้นตอน โดยมีพรรคระดมกำลังทางสมอง เป็นที่ปรึกษาตลอดโพลจากสถาบันต่างๆ
โดยตัวผู้สมัครต้องมีลักษณะที่โดดเด่น ในการใช้ภาษา ท่าทางที่สุภาพ บุคลิกภาพที่ดี พูดชักจูงให้คล้อยตาม และสร้างความน่าเชื่อถือสามารถกำหนดกุมคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
เพื่อสร้างค่านิยมให้ตัวเอง ชี้ให้เห็นอุดมการณ์ โดยอาจเห็นแค่ชื่อ จะนึกภาพออก เช่น นาย ชวน หลีกภัย ที่มีภาพซื่อสัตย์สุจริต หรือ นายอภิสิทธิ์ ที่มองเห็นภาพ พูดจาสุภาพ อ่อนน้อม
การสร้างการสื่อสารจึงถือได้ว่าเป็นอีกช่องทางของการโฆษณานอกจากการเดินหาเสียงหรือติดป้ายโฆษณา
การปราศรัยเสียงต่อสาธารณะชน ต้องคำนึงถึงสิ่งดังนี้
การตัดสินใจที่จะปราศรัย ประโยชน์ที่จะได้ กลุ่มใครฟัง ขอบเขตการพูด ต้องรู้ภูมิหลังและรสนิยมของผู้ฟัง โดยลงทุนน้อยแต่ให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด
ต้องเตรียมเนื้อหา ประเด็น ซักถาม ให้เหมาะสมกับเวลา และพูดให้เห็นเนื้อหาที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
การเขียนคำปราศรัย ต้องเกี่ยวข้องกัน และ มีความต่อเนื่อง ชัดเจนทำให้ผู้ฟังรู้จักผู้สมัครเป็นอย่างดี เข้าถึงความต้องการของประชาชน ต้องมีการตรวจสอบร่างให้ละเอียดและจัดลำดับคำพูดเป็นขั้นตอน
การมอบหมายให้ผู้อื่นปราศรัยแทนมีข้อดีคือ ตัวแทนกล่าวยกย่อง เชิดชู ตัวเราเองได้ เพราะตัวแทนสามารถทำได้ในสิ่งที่เราทำไม่ได้หรือไม่สมควร
รูปแบบในคำปราศรัย ต้องเกี่ยวข้อง มีความต่อเนื่อง ชัดเจน และต้องถูกกาลเทศะและให้เกียรติสถานที่พร้อมกับรู้จักกล่าวคำขอโทษเมื่อเกิดความผิดพลาด
ในรูปแบบของคำปราศรัยต้องดูสถานที่อีกด้วย การปราศรัยนอกเหนือจากคำพูดแล้ว ยังอาศัยการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่นการเดินเคาะประตูบ้านเพื่อแนะนำตัว เป็นต้น
การโต้วาที(debates)ประกอบด้วย การเผชิญหน้าของผู้โต้วาที ต่อหน้าผู้รับฟังและสาธารณะชนโดยมีเวลา ญัติติที่กำหนด
ระหว่างการโต้วาที ต้องทำให้ผู้ฟังมองเห็นประเด็นปํญหาและเห็นจุดขายตามภาพลักษณ์ตัวเอง เพื่อเพิ่มความนิยมให้ผู้สมัครและเพิ่มกลุ่มผู้สนับสนุน
การโฆษณาเสียงผ่านสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ ป้ายหาเสียงเป็นสิ่งที่มีราคาแพงในแง่การผลิต ไม่รวมต้นทุนทางความคิด สื่อที่ดีควรนำแนวคิด และภาพลักษณ์ของตัวผู้สมัครเองสู่มวลชนได้ การจัดทำแผนโฆษณาเป็นหัวใหญ่ของกระบวนการหาเสียง โดยต้องคำนึงถึงงบประมาณ ต้นทุนทรัพยากรซึ่งแล้วแต่กลยุทธ์ เช่นโหมโฆษณา เพราะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก บางครั้งต้องสร้างความจดจำเป็นม้าตีนปลายโหมตอนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง หรือโฆษณาแบบเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งใช้งบประมาณมากในการโฆษณา จึงจำเป็นต้องจับประเด็นที่สังคมสนใจ หรือผ่านกระบวนการทดลองเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขปรับปรุงกลยุทธ์ในการหาเสียง การโฆษณาหาเสียงผ่านสื่อส่วนมากจึงเป็นเรื่องนโยบายและการบริหารงานของพรรค
อาจมีเรื่องการหยิบยกโครงการที่ได้รับการยอมรับจัดสถานที่ให้ดูว่านักข่าวกับผู้สมัครดูใกล้ชิดกัน ซึ่งอาจจะมีเรื่องการขอโทษ การโจมตี หรือ ประเด็นขอให้ผู้สื่อข่าวยุติการนำเสนอประเด็นนี้ หรือแม้แต่การมองหาคนร่วมรับผิดชอบ
การวางภาพลักษณ์ เริ่มจาก คลินตัน หลังปี 1992 โดยการใช้ โทรศัพท์ หรือการออกโทรทัศน์ โดยให้โทรเข้ามาในรายการเพื่อเรียกกระแสนิยม
ดังนั้นศิลปะในการสร้างภาพลักษณ์จึงจำเป็นและเป็นหัวใจในการหาเสียงซึ่งอาศัยวัตถุทางการเมืองซึ่งอาจ อาจมาจากภาพลักษณ์ที่ดีและไม่ดีจนทำให้เป็นที่รู้จัก
คือภาพลักษณ์อาจเป็นลาของพรรค
ภาพลักษณ์อาจเป็นช้างของพรรค
ในการหาเสียงใช้หลักแนวคิดธุรกิจโฆษณาคือ จุดยุทธศาสตร์การตลาดที่เป็นมาตรฐาน มีการวิจัยตลาดชุมชน มีความคาดหวังความต้องการมีการโฆษณาหาเสียงในรูปแบบอุดมการณ์ที่เป็นคุณลักษณะตราสินค้า รู้จักรูแบบการตลาด
ในการโฆษณาหาเสียงควรทำอย่างต่อเนื่องแม้จะได้รับการเลือกตั้งแล้วเพราะอาจจะทำให้คะแนนเสียงลดลงจากการปรับตัวเรียนรู้งานหรือกระแสสังคม
กลยุทธ์ในการวางภาพลักษณ์ ต้องอาศัยการโน้มน้าวข้อเท็จจริง การป้องกันตัวเอง แม้แต่ส่งผลทางลบในการโจมตีผู้อื่นมากเกินไปจนทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง
สัญญลกษณ์การเมืองโดยหลักการสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่เฉพาะตัวนักการเมืองสร้างไม่ว่าด้านใด
เช่น นายชวน หลีกภัย เป็นคนซื่อสัตย์ จึงมองเห็นที่ถ่ายทอดง่ายๆเวลานึกถึงถือว่าเป็นการใช้สัญญลักษณ์แทนคำพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ
โดยสรุปการเลือกตั้งประกอบด้วย 2 ระบบคือ
อาศัยตลาดการเมืองว่าด้วยผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นผู้บริโภคโดยเจ้าของสินค้าต้องสร้างแรงจูงใจต่างๆเพื่อลงคะแนนให้
อาศัยแบบระบบชนชั้นซึ่งเป็นแนวคิดแบบดั้งเดิมประชาชนใช้สิทธฺโดยอำนาจอนิปไตยโดยเลือกผู้ปกครอง
ความเข้าใจและการให้ความสำคัญในแนวคิดการโฆษณาต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมพื้นฐานทางภาษาและสร้างภาพลักษณ์โดยการสื่อสารเพื่อให้เกิดจดจำไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
หลักการบริหารแบบ posdcorbของ ลูเธอร์ คูลิค luther gulick
P palnning หมายถึง การวางแผน
O organizing หมายถึง การจัดองค์กร
S stffing หมายถึง การจัดการเกี่ยวกับการบุคคลในองค์กร
D directing หมายถึง การอำนวยงาน
Co coordinating หมายถึง การประสานงาน
R reporting หมายถึง การรายงาน
B budgeting หมายถึง งบประมาณ
ไม่มีความเห็น