107. เดินป่า ปีนเขา เข้าถึงหัวใจป่า...ที่ดอยม่อนล้าน (แม่กำปองตอนจบ)


เปิดบันทึกที่ 4 เพื่อปิดบันทึกความทรงจำที่แม่กำปอง
ด้วยการพาไปเดินป่า และปีนเขา ชื่อว่า "ดอยม่อนล้าน"
ซึ่งถือว่าเป็นผืนป่า อันเป็นสมบัติของชุมชนแม่ออนทั้งฝั่งเชียงใหม่และลำปาง
เป็นผืนป่าที่ติดต่อกับอุทยานแจ้ซ้อน แต่ฝั่งเชียงใหม่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยาน
ดังนั้น ดอยม่อนล้าน จึงเป็นทั้งป่าหลังบ้าน ป่าชุมชน และป่าสาธารณะ
ที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาร่วมกัน
ป่าผืนนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ อย่างน่าพอใจอยู่ไม่น้อย
 

ตอนวางแผนมาแม่กำปองนั้น ตั้งเป้ากันไว้ว่าจะเดินป่าที่นี่
เพื่อศึกษาธรรมชาติ โดยไปให้ถึงยอดดอยล้าน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
ไปกลับ 10 กิโลเมตร ซึ่งหลายๆ คนก็หมายมั่นปั้นมือว่าไปถึงแน่นอน
แต่เอาเข้าจริง ทีมของเราไปถึงเพียง 3 กิโลเมตร เพราะฝนตกหนักตลอดทาง
ที่มีทั้งความลื่นและความชัน  แต่ก็ไม่ผิดหวัง เพราะจุดพักนั้นสวยงามนัก

 

 
ในภาพบน  ยอดเขาลูกไกลๆ นั่นล่ะ คือเป้าหมายที่ตั้งใจพิชิต "ดอยม่อนล้าน"
ได้แต่ถ่ายภาพไกลๆ แล้วนึกในใจว่า "ฝากไว้ก่อน" แล้วเจอกัน

 

เส้นทางเดินป่าในวันแรกที่ไปถึง เป็นการเดินป่ารอบๆ หมู่บ้านก่อน
เพื่อวอร์มเอากำลัง และทำความรู้จักธรรมชาติที่ใกล้ชิดกับชีวิตของชาวบ้าน
วันแรกฝนยังไม่ตก ทำให้เส้นทางเดินได้สบายๆ และสนุกสนานกับความรู้ของป่า 

 

ป่ารอบๆ ชุมชน เป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก แต่ไม่ทึบนัก
พื้นที่ของป่าส่วนนี้ ชาวบ้านได้ใช้ทำประโยชน์ร่วมกันหลายอย่าง
ทั้งเป็นพื้นที่ของป่าเมี่ยง ที่ชาวบ้านทำมาตั้งแต่ในอดีต
โดยมีทั้งต้นเมี่ยงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่ชาวบ้านปลูกเสริมขึ้นมา
และเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟ ซึ่งการปลูกกาแฟก็จะปลูกไปตามพื้นที่ว่างๆ ในผืนป่า
โดยไม่ต้องโค่น หรือถางป่าให้เสียสมดุลย์

 

ในผืนป่ามีไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่เป็นไม้ดอก ไม้ใบ สมุนไพร ไม้ยืนต้น
ต้นไม้แต่ละต้น ล้วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน
คนนำทางของเรา พาเดินป่าไป อธิบายสรรพคุณต่างๆ นานา มากมาย
ผ่านบางต้น  ก็เด็ดมาให้เราชิมกันบ้าง เพื่อบอกให้รู้ว่ากินได้จริง

 

ต้นไผ่กอนี้สวยมาก เป็นไผ่เขียว ที่คนนำทางบอกว่าใช้จักรสานดี
ต้นตรง สีสวย และกอใหญ่มาก ที่นี่เราได้เห็นหน่อไม้ใหญ่และสูงมาก
เสียดาย ถ่ายภาพมาไม่ชัดเลย

 

จำไม่ได้ว่าต้นอะไร แต่สูงใหญ่มาก ที่ทึ่งมากคือเถาวัลย์ป่าที่เลื้อยอยู่
ขนาดอวบมากๆ พันเกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่อย่างแน่นหนา น่าเอาไปถักทอเป็นตะกร้า
หรือทำเป็นเปลเถาวัลย์

 

เด็กน้อยที่ไปด้วย อดใจไม่อยู่ต้องไปวัดขนาดต้นไม้ว่าใหญ่ถึง 4 คนโอบ
ตัวเธอจึงเล็กกระจิ๋วริ๋วไปเลย

 

ป่าใกล้ชุมชน จะดาษดื่นไปด้วยกล้วยป่า ต้นสูงบาง ไม่ค่อยมีลูก
บางต้นมีปลีขนาดใหญ่มาก เขาบอกว่ากล้วยป่าอายุนานเป็นปีกว่าจะให้ลูก
แต่ใบกล้วยจะใหญ่มาก วันรุ่งขึ้นฝนตกหนัก เราได้ใบกล้วยต่างร่มดีทีเดียว

 

มหัศจรรย์ในวันแรกที่เดินป่าของเรา คือต้นไม้สูงใหญ่ต้นนี้เอง
เห็นแล้วอึ้งเลย และพอเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นภาพที่ทำให้แปลกใจอีกหนึ่ง
คือภาพด้านล่าง

 

สองภาพบนนี้ คือ ต้นกฤษณา พืชสงวน ห้ามนำออกจากป่า
แต่เราจะเห็นการบากเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ รอบต้นและตลอดไปจนสุดตา
เพื่อนำเอาเปลือกของไม้กฤษณา ออกไปจำหน่าย (ไม่ได้เอาต้นออกไป)
คนนำทางบอกว่า ต้นกฤษณา ถือเป็นต้นไม้มีค่าของผืนป่า
หากเอาต้นอ่อนสูงกว่า 2 ฟุตออกจากป่า หากตรวจพบจะถูกจับ ปรับได้

 

วันแรก คนนำทางพาเราเดินรอบป่าแล้ววนมาพบกันน้ำตกแม่กำปอง ชั้นล่างสุด
เด็กๆ ในทีมเลยละความสนใจจากป่า กระโดดไปเล่นน้ำปิดท้าย
 
คืนนั้นฝนตกหนักมาก วันรุ่งขึ้นทำให้ป่าที่เราเตรียมตัวเดินทางไกลนั้น
ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝน ทำให้การเดินป่าครั้งนี้สาหัสเอาการ แต่ก็เต็มไปด้วยความสนุก
และความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย

 

เรานัดกันออกเดินทาง 9 โมงเช้า
ทุกบ้านที่เราพักได้ตระเตรียมข้าวเหนียว น้ำพริก และหมู/ไก่ทอดไปให้กินกลางวัน
พร้อมน้ำเปล่ายี่ห้อแม่กำปอง คนละขวด ติดตัวไปพร้อมเดินทาง

 

คนนำทางของเรา เตรียมพร้อม และเท่ห์มาก
ท่านมีความรู้เรื่องสมุนไพรมากด้วย ใครไปกับทีมนี้จะได้ความรู้มากเรื่องราวของ
ต้นไม้ ใบไม้ ที่ล้วนมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านย่านนี้

 

คนนำทางอีกคนของเรา ถ่ายภาพเท่ห์กับต้นน้ำตกแม่กำปอง

 

วันที่สอง จุดเริ่มต้นของการเดินป่าของเรา เริ่มจากน้ำตกแม่กำปองนี่เอง
วันนี้น้ำมาก เพราะฝนเติมลงไปทั้งคืน ยิ่งทำให้น้ำตกแม่กำปองสวยขึ้นอีกเท่าตัว

 

เส้นทางเดินเริ่มต้น ทำเรายิ้มได้เลย เพราะเป็นขั้นบันได มีราวจับ เดินสบาย
แต่นี่เป็นเพียงเส้นทางต้นๆ ตรงน้ำตกชั้นล่างๆ เท่านั้น
พอถึงชั้นสามขึ้นไปก็ต้องปีนกันเองแล้วค่ะ

 

ผ่านน้ำตกชั้นที่สามมาได้ ฝนเริ่มตกหนัก ใครเอาเสื้อกันฝนมาด้วย
ต้องจัดแจงใส่กันฝนกันจ้าละหวั่น รวมถึงการห่อกล้องกันเปียกด้วย
กว่าเราจะถึงชั้นเจ็ดของน้ำตกก็ต้องหลบฝนอยู่หลายนาที
เพราะระหว่างนั้นฝนตกหนัก และทางลื่นมาก

 

ชุดเดินป่าแสนสวยของสาวๆ  กลายเป็นนางแบบจำเป็นให้เราไป

 

ภาพต้นไม้ใหญ่ๆ ระหว่างทาง ที่เก็บภาพมาฝาก เท่าที่ทำได้
สำหรับไม้เล็ก ไม้น้อย และดอกไม้ ฝากกลับไปชมบันทึกที่ 3 ค่ะ

 

จุดที่เรากะว่าจะแวะพักหลบฝนสักหน่อย เป็นที่พักของชาวบ้านที่ทำไว้
เพื่อพักยามเข้ามาเก็บเมี่ยง เก็บกาแฟ
แต่จุดที่ตั้งมันสูงเกินไป และเล็กกว่าทีมของเราจะเข้าไปเบียดกันอยู่ได้
คนนำทางจึงพาเลยไป บอกว่าไปหวังเอาข้างหน้า
เฮ้อ...เหนื่อยเลยเรา

 

เห็ดที่พบในป่า ต้นยาวมาก และมีดอกด้านบนคล้ายกระบอง
คนนำทางบอกว่ากินได้ เอาไปจิ้มน้ำพริกอร่อย แต่ไม่มีใครกล้าชิม

 

นี่ก็อีกหนึ่งเห็ด คนนำทางเรียกขำๆ ว่า "เห็ดญาติเยอะ" เป็นมุก
เพราะกินแล้วตาย จะมีญาติมางานศพเยอะเลย

 

 
เดินลึกเข้าไปท่ามกลางฝน  จุดนี้เหมือนเรายืนอยู่บนที่สูง
มองลงไปเป็นเหวลึก มีต้นไม้สูงเด่นขึ้นมาท่ามกลางหมอกที่โปรยตัวลงมาจนทึบ
วังเวงได้ใจเลยในจุดนี้  ทีมของเราหยุดอยู่ตรงนี้พักใหญ่เพื่อเก็บภาพ
และอึ้งกับบรรยากาศของป่าที่เงียบ เย็น และยะเยือก
คนนำทางบอกเบาๆ ว่า ข้างหน้าคือ "ต้นตะเคียน"

 

 

ตะเคียน ต้นใหญ่มาก อายุนับร้อยปี  มีตะใคร่น้ำเกาะเต็มต้น
เหมือนโผล่ออกมาจากหุบเหวที่ลึกมาก
พวกเราอยู่ตรงส่วนกลางลำต้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเรายังต้องไล่สายตาไปอีกไกล จึงจะเห็นยอดอยู่เสียดฟ้า
ทุกคน ค่อยๆ กระซิบบอกต่อๆ กันว่า "ต้นตะเคียน" ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมากกว่านั้น
ได้แต่เพ่งสายตามอง เหมือนกับจะเก็บภาพนั้นไว้ในใจอย่างเนิ่นนาน

 

ป่าและเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาปกคลุม พร้อมกับความทึบของผืนป่าเบญจพรรณ

 

 

เดินบ้าง พักขาบ้าง ไปตลอดทาง เพราะเส้นทางชันขึ้นเรื่อยๆ
ใครแข็งแรงกว่าก็ช่วยดึง ช่วยดัน คนอื่นๆ ให้ค่อยๆ คืบไปข้างหน้า อย่างมีน้ำใจ
จนก่อนเที่ยงเล็กน้อย เราก็มาถึงจุดพักจนได้

 

จุดพัก และเป็นจุดสิ้นสุดการเดินทางขาขึ้นของทีมเรา
ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร กับเวลา 3 ชั่วโมง กินอาหารเที่ยงกันที่นี่
เป็นอาหารมื้อที่อร่อยมาก มีอะไรกินหมดทุกอย่าง แบ่งปันกันอย่างทั่วถึง
และยังได้ดื่มน้ำจากธรรมชาติที่นี่ เพราะน้ำที่พกมาด้วยหมดไปแล้ว

 

 

จุดที่เรามาถึง เรียกอย่างเป็นทางการว่า หน่วยพิทักษ์อุทยาน (ดอยล้าน)
ไม่ใช่จุดสูงสุดอย่างที่เราตั้งใจไว้
 

 

บรรยากาศของป่าโปร่งรอบๆ หน่วยพิทักษ์อุทยาน ซึ่งมีไม้สน เป็นหลัก
อากาศเย็นสบายในยามนี้ และฝนซาแล้ว

 

ดอกไม้ที่ขึ้นเต็มพื้นในละแวกนี้ ประดับประดาให้มีสีสรร สดใส

 

กินข้าวเสร็จแล้ว พักผ่อนพอควร ล้างเนื้อล้างตัว เสร็จสรรพ
คนนำทางบอกว่ามีจุดชมวิวสวยๆ อยู่ห่างไปอีกเล็กน้อย ไหนๆ มาแล้วแวะไปหน่อย
เฮ้อ...ต้องเดิน ต้องปีนอีกแล้ว ภาพข้างบนนี้เป็นเส้นทางขึ้นจุดชมวิว

 

ขึ้นถึงจุดชมวิว สวยสมใจ เชียว  คุ้มค่ามากที่ขึ้นมาเก็บภาพประทับใจ
จุดชมวิวนี้จะเห็นภาพ 2 จังหวัด คือ เชียงใหม่ และลำปาง
ส่วนลำพูน อยู่หลังภูเขาอีกลูกที่บังเราอยู่ (เขาที่เห็นในภาพบนนี้ล่ะ)

 

 

วิวฝั่งจังหวัดเชียงใหม่

 

 

วิวฝั่งจังหวัดลำปาง
 

ต้นสน ที่สวยงามและตระหง่านอยู่บนจุดชมวิว

 

สีสรรของท้องฟ้าหลังฝน

 

 

ขากลับ คนนำทางพาเรากลับทางถนน ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมเชียงใหม่กับลำปาง
ไม่ได้ย้อนกลับไปในป่าตามเส้นทางขามา
มีหลายคนบอกว่า แล้วทำไมเราไม่ขึ้นมาทางถนน ดูจะง่ายกว่านะ
แต่...ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ได้เดินป่า และเรียนรู้ธรรมชาติของป่านะสิจ๊ะ
 
แล้วถนนที่เราเห็นว่าเดินง่ายๆ นั้น เอาเข้าจริงขาลงไม่ง่ายหรือเร็วอย่างที่คิดเลย
ด้วยความชันของถนน และแรงดึงดูดของโลก อีกทั้งระยะทางที่ยาวไกล
รวมถึงพลกำลังที่ถอยลงไปเยอะแล้ว ทำให้ขาลงของเราก็ลำบากไม่น้อย
เพราะต้องเดินจิกเท้า และพยายามต้านแรงดึงดูดของโลกไม่ให้หัวทิ่ม
หลายคนล้อเลียนว่าเดินแบบท่าเต้นของ ไมเคิล แจ็กสัน
นานๆ เข้าหลายๆ คนก็ต้องถอดรองเท้าเดินกันเลย
เราใช้เวลาขากลับประมาณ 2 ชั่วโมง
ถึงหมู่บ้าน ก็หมดแรง หลายๆ คนได้ใช้บริการหมอนวดแผนไทยคลายเมื่อยกันเลย
 
 
การเดินทางไปเยือนแม่กำปองครั้งนี้ มีความประทับใจมากมาย
บันทึกออกมาเป็นอักษรได้ไม่หมด
แต่ทั้งหมดอยู่ในใจไม่รู้ลืม...อยากบอกว่า
"แม่กำปอง...รู้จักแล้ว ฉันก็หลงรักเธอ"
 
ขอให้แม่กำปอง เป็นสาวน้อย น่ารัก บริสุทธิ์ ไปอีกนานๆ ค่ะ
 
ราตรีสวัสดิ์
pis.ratana บันทึก
สิงหาคม 2553.

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 389550เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2010 00:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

หลงรักสาวน้อย พิสุทธิ์ใส แห่งป่าอันอุดม นาม แม่กำปอง จัง ขอบคุณมากมายนะคะสำหรับบันทึกนี้ ฝันดีค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณปู

แวะมาทักทาย คนแรกเลย ดีใจค่ะที่ได้พบกัน

ฝันดีเช่นกันค่ะ

สวัสดีค่ะ

เหมือนกับได้เดินป่าด้วยเลยค่ะ

อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เห็นแล้วสุขใจจังค่ะ

สวยดีครับ เห็ดชนิดแรก ก้านยาวไม่น่าจะรับประทานได้นะครับ แต่เห็ดญาติเยอะนี่เป็นยาครับ รับประทานตอนที่อ่อน ๆ ได้แต่ไม่นิยมครับ

"หัวใจป่า" ช่างเป็นหัวใจที่กว้างขวางเหลือเกิน บรรจุไปด้วยสรรพสิ่งอันเป็นชีวิต แถมยังเผื่อแผ่มาถึงสัตว์อื่นๆ ทั้งปวง

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณ คุณกอหญ้าที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ

ขอบคุณ คุณคนไทบ้าน

ที่แวะมา และให้ความรู้เกี่ยวกับป่ากับเห็ด

อาจเกิดความเข้าใจไม่เหมือนกันหรือเปล่าไม่รู้

แต่คนที่นั่นอธิบายเช่นนี้

อาจจะมีความรู้คนละชุดกระมัง

แต่อย่างไรก็ทำให้มีความรู้ที่ต้องถกเถียงกันนะคะ

ดีค่ะ จะได้มีเรื่องให้ค้นหาต่อไป

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณค่ะ..มาเชียร์ให้ทำ Pocket Book สารคดีนำเที่ยวนะคะ..เนื้อหาดีและภาพสวยงามมากค่ะ..มีต้นสาลิกาลิ้นทองที่บ้านมาฝากค่ะ..

ขอบคุณ คุณนงนาท ค่ะ

ชวนเพื่อนเที่ยวสนุกๆ ค่ะ

และขอบคุณสำหรับต้นสาลิกาลิ้นทอง

เพิ่งได้ทำความรู้จักค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท