บทบาทของเมืองชุมพรสมัยรัตนโกสินทร์ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องศึกสงครามอยู่ค่ะ วันนี้เรามาติดตามกันต่อนะคะ
สมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑
เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าได้จัดกองทัพใหญ่มาตีกรุงเทพมหานครทั้งเหนือและทางใต้ โดยแบ่งเป็นหลายทัพ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองชุมพรมีดังนี้
- ให้เนมโยคุงนรัด ถือพลสองพันห้าร้อยเป็นทัพบกยกมาทางเมืองมฤต (มะริด) มาตีเมืองชุมพร เมืองไชยา และแก่งหวุ่นแมงญีถือพลสี่พันห้าร้อยเป็นแม่ทัพยกหนุนมาทางหนึ่ง
- เมื่อข่าวศึกมาถึงพระนคร สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จกรมพระราชวังบรมมหาสุรสิงหนาทได้มีหนังสือบอกถึงเมืองชุมพร เมืองถลาง เมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองนครลำปาง เตรียมรับมือข้าศึก
- กองทัพพม่ายกยกกองทัพเรือมารออยู่ที่เมืองมฤต (มะริด) มีแก่งหวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพยกมาทางเมืองกระ เมืองระนอง เข้าตีเมืองชุมพรและเผาเมือง จากนั้นยกไปตีเมืองไชยา โดยแม่ทัพตั้งค่ายอยู่ที่เมืองชุมพร ขณะนั้นทางกรุงเทพมหานครยังไม่ได้ส่งกองทัพมาช่วยเนื่องจากติดศึกอยู่ที่กาญจนบุรี
- สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีรับสั่งให้สมเด็จกรมพระราชวังบรมมหาสุรสิงหนาท เสด็จมายังเมืองชุมพร (ทางทะเล) เมื่อตั้งค่ายและพลับพลาแล้วสมเด็จกรมพระราชวังบรมมหาสุรสิงหนาท ให้พระยากลาโหมราชเสนา (กองทัพหน้า) ยกทัพบกไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองไชยา เมื่อตีทัพพม่าที่ไชยาแตกแล้วได้มากราบทูลที่ค่ายหลวงเมืองชุมพร
พ.ศ. ๒๓๓๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกกองทัพไปตีเมืองมะริด ซึ่งพม่ายึดเอาไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ โดยกองทัพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ตั้งอยู่ที่ริมทะเลหน้านอกในแขวงเมืองชุมพร และโปรดให้หาไม้มาต่อเรือรบจนพอแก่ความต้องการจึงยาตราทัพไปตีเมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดต่อไป
พ.ศ. ๒๓๓๘ พม่าได้ยกกองทัพเรือมาตีเมืองถลาง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดให้เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค) เป็นแม่ทัพยกกองทัพเรือมาขึ้นบกที่เมืองชุมพร แล้วเดินทัพไปตีกองทัพพม่าที่ยึดเมืองถลางแตกหนีไป ในคราวนั้นจับพม่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก
รัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๕๒ พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าได้ส่งกองทัพเรือมาตีเมืองถลาง และเมืองมะลิวัน (เมืองขึ้นของเมืองชุมพร) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ติดเขตแดนพม่า เมื่อตีเมืองมะลิวันได้แล้วก็เข้าไปตีเมืองระนอง และเมืองกระบุรี ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองชุมพรได้อีก ๒ เมือง จากนั้นเดินทัพเข้ามาตีเมืองชุมพรได้อีกหนึ่งเมืองและตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองชุมพร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เป็นแม่ทัพยกไปขับไล่พม่า เมื่อเดินทางถึงเมืองชุมพรสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์โปรดให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) เป็นแม่ทัพกองทัพหน้าเข้าตีกองทัพพม่าที่ครองเมืองชุมพรทันที กองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ตั้งอยู่ที่เมืองชุมพรเป็นเวลานาน และได้ปราบปรามทำลายกองทัพพม่าจนหมดสิ้นจึงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร
รัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ร่วมกับอังกฤษรบกับพม่า โดยโปรดให้จัดกองทัพไปที่ด่านเจดีย์สามองค์ และโปรดให้เกณฑ์กองทัพเมืองชุมพรและเมืองไชยา โปรดให้พระยาชุมพร (ซุย) เจ้าเมืองชุมพรเป็นแม่ทัพคุมกองทัพเรือยกไปทางเมืองมะริดและเมืองทวายอีกทางหนึ่งเพื่อขัดตาทัพฟังข้อราชการว่าการศึกจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร โดยยังมิให้รบกับพม่า แต่พระยาชุมพรได้คุม
กองเรือรบ ๙ ลำ ไปจับชาวพม่าที่ปากน้ำทวายมาเป็นเชลยได้ ๔๐๐ คน ซึ่งขณะนั้นอังกฤษตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริดจากพม่าได้แล้ว จึงร้องเรียนเข้ามายังกรุงเทพฯ ว่าพระยาชุมพรไปกวาดต้อนพลเมืองของพม่าซึ่งอังกฤษได้ยึดครองอยู่มาเป็นเชลย ครั้งนั้นพระยาชุมพรอ้างว่าในระหว่างนำเรือกลับจากลาดตระเวนพบครอบครัวชาวมะริดขอสมัครมาอยู่ด้วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สอบสวนข้อเท็จจริงพบว่ามิได้เป็นไปตามที่พระยาชุมพรอ้าง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอดพระยาชุมพรออกจากบรรดาศักดิ์แล้วนำตัวมาไว้ที่กรุงเทพฯ (พระยาชุมพร (ซุย) ได้ถูกกักบริเวณอยู่ที่กรุงเทพฯ จนถึงแก่กรรมในรัชกาลที่ ๓)
เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองและตั้งมั่นอยู่ในเมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีเรียบร้อยแล้ว จึงขอปักปันดินแดนระหว่างสองเมืองที่ตนครอบครองอยู่กับประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีแผนที่แสดงเส้นเขตแดนที่แน่นอน โดยอังกฤษจะถือเอาแม่น้ำกระ (แม่น้ำปากจั่น) เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยคนละครึ่งแม่น้ำทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถยินยอมตามข้อเสนอนี้ได้ เนื่องจากมีเมืองมะลิวัน ( เมืองมะลิวันเป็นเมืองของไทยที่มีชื่อปรากฏอยู่ในทำเนียบศักดินาทหารหัวเมืองว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองชุมพร) ตั้งอยู่ แต่อังกฤษยังยืนกรานเหมือนเดิม จึงไม่อาจตกลงกันได้และระงับไปจนสิ้นรัชกาลที่ ๓
พ.ศ. ๒๓๘๙ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คอซู้เจียง เป็นหลวงรัตนเศษรฐี ขุนนางนายอากรเมืองระนอง
รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๗ เจ้าเมืองระนองถึงแก่กรรม (ในขณะนั้นเมืองระนองยังเป็นเมืองขึ้นของเมืองชุมพร) พระยาชุมพรจึงกราบบังคมทูลว่าตำแหน่งเจ้าเมืองระนองว่างอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนหลวงรัตนเศษรฐี (คอซู้เจียง) เป็นพระรัตนเศษรฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง (ผู้ว่าราชการเมืองระนองคนแรก)
พ.ศ. ๒๔๐๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้แยกเมืองตระ (เมืองกระ) ซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับเมืองชุมพรไปขึ้นกับเมืองระนอง และโปรดเกล้าฯ ให้เมืองระนองซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับเมืองชุมพรเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๔๐๗ อังกฤษได้รื้อฟื้นเรื่องเส้นเขตแดนมาเจรจากับไทยอีกครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรบุรี พระยากำแหงสงครามกับพระยาชุมพร เป็นผู้แทนฝ่ายไทยไปเจรจา โดยให้แนวเขาทางทิศตะวันตกของเมืองกระบุรีซึ่งเป็นทิวจนตกทะเลในอ่าวเบลกอลเป็นเส้นแบ่งเขตแดน การเจรจาครั้งแรกนี้ไม่สามารถตกลงกันเนื่องจากอังกฤษยืนกรานตามข้อเสนอเดิม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าว่า ถ้าฝ่ายไทยยืนกรานตามความเห็นเดิมคงตกลงกันไม่ได้ และเพื่อดำรงสัมพันธไมตรีกับประเทศอังกฤษต่อไป จึงควรจะประนีประนอมตามที่ฝ่ายอังกฤษเสนอมา โดยโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนฝ่ายไทยทำความตกลงกับฝ่ายอังกฤษ คือ โปรดให้ถือเส้นเขตแดนของแต่ละประเทศตรงกึ่งกลางแม่น้ำกระ (แม่น้ำปากจั่น) ไปจนจดทะเลในมหาสมุทรอินเดีย
เมื่ออังกฤษได้การปักปันเขตแดนตามที่ต้องการแล้ว จึงยอมให้ไทยมีอำนาจดำเนินเรื่องผู้ร้ายข้ามแดนได้ และเมื่อจัดทำแผนที่เส้นเขตแดนแล้วเมืองมะลิวันซึ่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกระบุรี (แม่น้ำปากจั่น) ทางตะวันตกของประเทศไทยและเป็นเมืองขึ้นของเมืองชุมพรมาแต่เดิมนั้นได้ตกไปเป็นของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา
รัชกาลที่ ๕ ตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้แยกเมืองหลังสวนออกจากเมืองชุมพรโดยยกขึ้นเป็นเมืองตรีขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองแบบใหม่ โดยแบ่งท้องที่เมืองชุมพรออกเป็น ๑๒ แขวงหรืออำเภอ คือ ท่ายาง, ท่าสะเภาบางหมาก, บ้านนาทุ่ง บ้านตากแดด, บ้านวังไผ่, บ้านนา, บ้านขุนทิ้ง (ขุนกระทิง), บ้านบางลึก, บ้านหาดพันไกร, บ้านเสพสี และบ้านบางสน
พ.ศ. ๒๔๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นายคอซิมก๊อง ณ ระนอง เป็นพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนอง นายคอซิมเต็ก ณ ระนอง เป็นพระยาจรูญราชโภคากร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน
สำหรับตัวเมืองชุมพรนั้นมีการย้ายเมืองหลายครั้งตามการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำชุมพร สันนิษฐานว่าตัวเมืองเดิมตั้งอยู่แถบวัดประเดิมฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพร ต่อมาย้ายไปตั้งเมืองที่ท่ายาง และตำบลท่าสะเภา (ท่าตะเภา) เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสด็จประพาสจวนเจ้าเมืองชุมพรที่ตำบลท่าสะเภา (ท่าตะเภา) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ทรงบันทึกไว้ว่า
“ …หมู่บ้านท่าตะเภาซึ่งเจ้าเมืองตั้งบ้านนั้น อยู่ข้างฝั่งเหนือไม่เป็นที่ทำเลค้าขาย ต้องถือว่าที่ท่ายาง เป็นที่สำคัญของเมืองชุมพร…”
สำหรับบ้านท่ายางได้บันทึกไว้ว่า “…อีกครึ่งเลี้ยวถึงท้ายบ้านท่ายาง ฝั่งตะวันออกที่บ้านท่ายางนั้น มีโรงกงสีภาษีรังนกอยู่หมู่หนึ่ง แล้วมีถนนไปเป็นตลาด กว้างประมาณ ๔ ศอก เป็นดินทรายขี้เป็ด มีโรงเรือนราษฎร์ค้าขายริมถนน ๒ ฟากแน่นหนาตลอดไป มีโรงเตาสุรา ๒ ข้างถนน แล้วถึงศาลเจ้าจีน…ตลาดขายของนั้นเป็นร้านชำ ของเครื่องนุ่งห่ม เครื่องสอยบ้าง มีร้านค้าขายเก็บสินค้าเสียเป็นอันมาก..”
พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ตั้งเมืองชุมพรเป็นมณฑลชุมพร มีพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลชุมพรคนแรก
พ.ศ. ๒๔๔๐โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเมืองปทิว (ประทิว) และเมืองท่าแซะ เป็นอำเภอขึ้นกับมณฑล ชุมพร และยุบเมืองตะโกเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอสวี (เดิมอำเภอสวีเป็นเมืองแต่ถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองหลังสวนในรัชกาลที่ ๕)
พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่เมืองชุมพร และท่วมศาลาว่าการมณฑลชุมพร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลาว่าการมณฑลชุมพรจากเมืองชุมพรไปตั้งที่บ้านดอน สุราษฎร์ธานี
พ.ศ. ๒๔๔๙ โปรดเกล้าฯ ให้เมืองกำเนิดนพคุณ (บางสะพาน) เป็นอำเภอหนึ่งของมณฑลชุมพร และให้รวมอำเภอกำเนิดนพคุณเข้ากับเมืองปราณบุรี (เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางสะพานภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรีเป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสแหลมมลายูต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๒พ.ศ. ๒๔๔๑, พ.ศ. ๒๔๔๓, พ.ศ. ๒๔๔๘ และ พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยชุมพรเป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางประพาสแหลมมลายูที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. พร้อมปีที่เสด็จประพาสไว้ตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้ คือ (เฉพาะในชุมพร)
- ถ้ำวังนกนางแอ่น บนเกาะลังกาจิว (ร.ศ. ๑๐๘ / พ.ศ. ๒๔๓๒)
- เขตต่อระหว่างชุมพรระนอง (ร.ศ. ๑๑๗ / พ.ศ. ๒๔๔๑)
- ถ้ำเขาเงิน อำเภอหลังสวน (ร.ศ.๑๑๗ / พ.ศ. ๒๔๔๑)
รัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองบ้านดอนเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎร์
พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองชุมพร ระหว่างวันที่ ๑๘ – ๒๑ กรกฎาคม โดยประทับแรมที่พลับพลาเมืองชุมพร
พ.ศ. ๒๔๕๙ โปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เปลี่ยนเมืองเป็นจังหวัด และเปลี่ยนผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เมืองหลังสวนเป็นจังหวัดหลังสวน
รัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกาศยกเลิกมณฑลสุราษฎร์ และโปรดให้มณฑลต่างๆ ซึ่งอยู่ในการปกครองของมณฑลสุราษฎร์ไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช จังหวัดชุมพรจึงได้ไปขึ้นอยู่กับมณฑลนครศรีธรรมราช (เป็นเวลา ๗ ปี)
พ.ศ.๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกระบอบเทศาภิบาล และให้ยุบจังหวัดหลังสวนเป็นอำเภอและขึ้นตรงต่อจังหวัดชุมพร
พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกระบอบเทศาภิบาล ยุบมณฑลต่างๆ ทั้งหมด เหลือเพียงหน่วยจังหวัดเท่านั้น และให้จังหวัดต่างๆ ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย จังหวัดชุมพรจึ้งได้ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทยมาจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๔๘๔ วันที่ ๘ ธันวาคม (ปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒) กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อนกำลังจากอินโดจีนเข้าสู่ประเทศไทยทางอรัญประเทศ และส่วนหนึ่งเดินทางด้วยเรือโดยยกพลขึ้นบกที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี ที่จังหวัดชุมพรกองกำลังญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่บริเวณริมทะเลบ้านคอสน ตำบลท่ายาง อำเภอเมือง โดยแบ่งกำลังเป็น ๒ สาย คือ สายที่ ๑ เคลื่อนกองกำลังตัดข้ามทุ่งนาสู่ท่านาสังข์ สายที่ ๒ เคลื่อนกองกำลังสู่วัดท่ายางใต้ บริเวณปากคลองท่ายางต่อกับแม่น้ำท่าตะเภาได้
กองกำลังญี่ปุ่น ปะทะกับกองกำลังยุวชนทหารหน่วยที่ ๕๒ ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียนศรียาภัย บริเวณสะพานข้ามคลองท่านางสังข์ (สะพานท่านางสังข์เป็นสะพานเหล็ก ปัจจุบันเหลือแต่ตอม่อ) การรบของยุวชนทหารในครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความรักชาติบ้านเมืองของคนไทยถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กนักเรียนก็สามารถร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในการป้องกันประเทศชาติได้อย่างภาคภูมิใจ
ในปัจจุบันจังหวัดชุมพรแบ่งการปกครองเป็น ๘ อำเภอ คือ อำเภอเมืองชุมพร อำเภอหลังสวน อำเภอสวี อำเภอท่าแซะ อำเภอทุ่งตะโก อำเภอปะทิว อำเภอพะโต๊ะ และอำเภอละแม มีตำบล ๗๐ ตำบล หมู่บ้าน ๖๘๓ หมู่บ้าน มีประชากรทั้งสิ้น ๔๕๒,๓๑๙ คน (ข้อมูลปี ๒๕๔๑) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ อาชีพทำประมงและเกษตรกรรม