วันนี้ขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคนไทยในการทำวีซ่าแคนาดา ขณะอยู่ในอเมริกา เผื่อข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับผู้กำลังมาศึกษาต่อในอเมริกาและวางแผนไปประชุมหรือเที่ยวที่แคนาดาด้วย คะ
1.ถ้าวางแผนจะเดินทางมาศึกษาต่อระยะยาวที่อเมริกา ควรทำวีซ่าแคนาดาที่เมืองไทย หรือ ในอเมริกาดี
ขึ้นกับกำหนดการที่จะไปแคนาดา เนื่องจากวีซ่าแบบ visitor ของแคนาดานั้นมักมีช่วงเวลาเพียง 3-6 เดือน ไม่เหมือนของอเมริกาที่ให้ 5-10 ปี
นอกจากนี้ยังมีสิ่งปลีกย่อย เรื่องสถานที่ทำวีซ่า
ในประเทศไทย ทำได้ที่กรุงเทพเท่านั้น
(แต่ให้ตัวแทนทำได้) เปิดทำ visiting วีซ่าวันจันทร์ถึงพฤหัส เวลา
7.30-10.00 น. การจ่ายค่าวีซ่ารับเช็คสั่งจ่ายเท่านั้น
ระยะเวลารอรับวีซ่า 4-5 วันทำการ
ในอเมริกา ทำได้ในสถานกงสุลแคนาดา 6 แห่ง คือ Buffalo , Detroit ,Los Angeles ,New York city,
Seattle แล Washington DC ใน San Francisco
ก็มีสถานกงสุล แต่ไม่มีบริการทำวีซ่า. เปิดทำ visiting visa
จันทร์ถึงศุกร์ 8.00-10.00 น. การจ่ายค่าธรรมเนียม (อัตราเดียวกัน)
เป็นเงินสด USD ได้ รับวีซ่าภายในวันเดียว
2. ทำวีซ่าแคนาดา
V-1 แบบ Single entry หรือ Multiple entry ดี
(ค่าธรรมเนียมการทำ Multiple entry แพงกว่า Single entry 2
เท่า)
สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง อเมริกา แคนาดา คือ
สองประเทศนี้เขาถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจนแทบจะไม่ถือว่าเป็นต่างประเทศเสียทีเดียว ดังนั้น
คนที่ถือสัญชาติอเมริกา หรือแคนาดา
ไม่ต้องทำวีซ่าในการเข้าออกระหว่างกัน
คนที่ถือ F1 หรือ J1 ของอเมริกา ต้องทำวีซ่าก็จริง
แต่การข้ามเขตแดนระหว่างแคนาดา กับอเมริกา
สามารถทำได้ตราบที่วีซ่าสองประเทศไม่หมดอายุ ไม่ขึ้นกับคำว่า
single หรือ multiple entry แต่อย่างใด
ได้วีซ่า V-1 แคนาดาแบบ
single entry มีอายุ 6 เดือน หมายความว่าในช่วงนี้ สามารถเดินทาง
"ด้วยรถยนต์" ผ่านพรมแดนแคนาดา อเมริกา กี่เที่ยวก็ได้
แต่ถ้าใช้เข้าออกแคนาดา กับ ไทย หรือกับอเมริกาเองก็ตาม
"ทางอากาศ" จะใช้ได้เที่ยวเดียวเท่านั้น
เจ้าหน้าที่พรมแดน เขียนว่าใช้เข้าออกทางรถยนต์
ได้ถึง 18 ส.ค.
3. ถ้าอยู่ San
Francisco ไปทำวีซ่าที่ LA หรือ Seattle ดี
ข้อดีของ LA คืออยู่ใกล้ นั่งเครื่องบินเพียง 45 นาทีก็ถึง
แต่ข้อเสียคือ ระบบขนส่งมวลชนจากสนามบินไปสถานกงสุลไม่สะดวกนัก และ
(อาจ)ไม่ปลอดภัยกับการเดินทางคนเดียว
ข้อดีของ Seattle คือ อยู่ใกล้ชายแดนแคนาดามาก ขับรถเพียง 2
ชั่วโมงก็เข้าสู่ Vancuver
เรียกว่ารับวีซ่าแล้วเดินทางต่อได้เลย
และมีระบบรถไฟฟ้าที่สะดวกปลอดภัยจากสนามบิน Tacoma-seattle มาที่สถานี
Westlake Bay C (4th st - Pine st) ซึ่งเดินแค่ 2-3
นาทีก็ถึงตึก Century squre (4th st- Pike
st) ที่ทำการของสถานกงสุล
4.การเตรียมตัวและเอกสาร
ขอเล่าถึงประสบการณ์ทุลักทุเลในการทำวีซ่าแคนาดาที่
seattle นะคะ...
ไปถึงรับบัตรคิวตอน 9.40 ได้คิวที่ 64 ถัดจากนั้นมา 5 นาทีก็ได้เรียก
ปรากฎว่า ต้องตอบแบบสอบถามสีชมพู
และต้องเตรียมเงินให้พอดีไม่มีทอน (ไม่เห็นเขียนบอกในเวบไซต์เลย) เลยต้องกลับไปเขียน
พร้อมกับกระหืดกระหอบลงไปแตกแบงค์ให้พอดี ก่อนมาเอาบัตรคิวใหม่
ได้คิวที่ 70 นั่งตรวจเอกสารครู่หนึ่ง เงยหน้ามาอีกที
อ้าวคิวที่ 72 แล้ว (คิวที่ดีเขาไม่ประกาศเสียง) ตอนนั้น 10.00
น.เป๊ะ ไปกดคิวใหม่
เจ้าเครื่องให้ออกมาเป็นกระดาษเปล่าคะ..แสดงว่าคนที่มาทำต้องไปให้ทันก่อน
10 น.จริงๆ เพราะหลังจาก 10 น. ตรงเป๋งเครื่องรับบัตรคิวจะหยุดทำงาน.
โชคยังดีว่า หลังจากคิวที่ 74
แล้วเขาให้พวกตกหล่นอย่างเราเข้าไปใหม่
หลังจากยื่น เจ้าหน้าที่ก็ดูเอกสารอย่างรวดเร็วมาก ไม่ถามอะไร บอกว่า
เวลา 11 น. ให้ขึ้นมารับ passport คืนได้..เหวอเล็กน้อย
ทำไมฉับไวขนาดนั้น
11 น. เจ้าหน้าที่จะเรียกตามคิว มาแสดงรับวีซ่า
ตรงนี้ค่อนข้างชุลมุนเล็กน้อย
เพราะคนที่โดยปฎิเสธวีซ่าก็ยืนคุยกันเครียดข้างๆ
ช่องรับวีซ่านั่นเอง
สุดท้ายก็ได้วีซ่า V1 แบบ 6 เดือน ก่อนเที่ยง..
สำหรับผู้ถือวีซ่า F1 นอกจากแบบฟอร์มสมัครวีซ่า IMM5257 ทาง online
แล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มคือ I-20 กับหลักฐานยืนยันว่า
ได้ลงเรียนจริงๆ เช่น ใบตอบรับการลงทะเบียน แต่กรณีผู้เขียน ขอให้ทาง
International student and scholar office
ซึ่งสุดแสนใจดีเขียนจดหมายรับรองให้
สำหรับ ผู้ถือ J1 ก็เตรียม DS2019 กับจดหมายจาก Program director
คะ
รายละเอียดเพิ่มเติมดูจากลิงค์นี้คะhttp://www.canadainternational.gc.ca/seattle/offices-bureaux/hours-heures.aspx
เป็นประโยชน์มากค่ะ ขอนคุณค่าาาา
ถ้าเกิดว่า วีซ่า j1 หมดอายุแล้วสามารถขอได้ไหมคะ หรือพอจะมีทางอื่นบ้างมั้ย