saving private ryan ภาพยนต์ที่ทำให้ดุษฎีนิพนธ์ "Leadership" ทั้งหลายเป็นเหมือนหนังสือฝึกอ่าน ก.ไก่ (1)


ความรู้มีอยู่ทุกแห่ง ขึ้นอยู่ที่เราจะตั้งใจมองหรือไม่

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูภาพยนตร์ประเภทสงคราม และมีเก็บสะสมไว้หลายเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชอบทุกเรื่องนะครับ อย่างน้อยก็จะต้องอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์หน่อย ที่สำคัญจะต้องสะท้อนให้เห็นความอัปลักษณ์ของการเข่นฆ่ากันเองของมนุษยชาติ และจะต้องเคารพในสิทธิแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างมีอิสระและสันติสุขของมวลชนได้ดีอีกด้วย

พูดถึงหนังสงครามหลายคนอาจเกิดอาการต่อต้านขึ้นมาทันใด ส่วนใหญ่จะอ้างถึงการแสดงความโหดร้าย ความรุนแรง ทั้งที่ความจริงแล้วภาพยนตร์พวกนี้ เป็นคนละประเภทกับหนังบู๊ล้างผลาญประเภทหนัง Action ที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธสารพัดชนิดจนเลือดท่วมจอตั้งแต่นาทีแรกจนจบเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ภาพยนตร์สงครามจะเป็นแนว Drama ที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ลัทธิ ความเชื่อ เชื้อชาติ การถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ การดิ้นรนต่อสู้ การแสวงหาอิสรภาพ อาจเรียกได้ว่ามันสามารถสะท้อนภาพความพิกลพิการแห่งภราดรภาพของมนุษย์ ( Damaged of The Brotherhood of Man) ที่สังคมยังไม่รับรู้ หรือรู้แต่ไม่ยอมรับได้เป็นอย่างดี คนที่ชอบดูภาพยนตร์ประเภทนี้จึงมักไม่ใช่คนที่กระหายสงครามอย่างที่มีคน(ที่ไม่รู้จริงแต่ปิดกั้นตัวเอง)กล่าวหา เป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่เป็นพวกต่อต้านสงครามเสียด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้ว ภาพยนตร์สงครามมีคุณค่ามากกว่าละครน้ำเน่าหลังข่าว หรือวาไรตี้ประเภทมอมเมาเด็กวัยรุ่นเอามาขังเป็นหมีแพนด้า ซ้อมร้องซ้อมเต้นให้พวกปัญญาอ่อนส่ง sms โหวตทางทีวีอย่างเทียบกันไม่ได้ คนที่เป็นผู้นำไม่ว่าจะระดับไหน แม้กระทั่งผู้นำประเทศควรให้ความสนใจดูหนังประเภทนี้เพื่อเป็นบทเรียนในการดำเนินงานและดำเนินชีวิตของตนเองบ้าง

ภาพยนตร์สงครามที่ดีมีคุณค่าสามารถสะท้อนความผิดพลาดของนโยบาย ความหลงมัวเมาในอำนาจ ในลัทธิ รวมถึงแง่คิดปรัชญาต่างๆมีมากครับ แต่ที่ผมเลือกนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันก็เพราะ มันสามารถสะท้อนภาพที่ครอบคลุมความเป็นสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบันได้เกือบทุกเรื่อง ที่สำคัญคือมันมีความทันสมัยของการสื่อความที่เชื่อว่าสามารถรับรู้กันได้ในทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะบรรยายถึงอดีตเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้วก็ตาม

ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างและกำกับโดย Steven Spielberg ที่เรารู้จักกันดี บทประพันธ์โดย Robert Rodat นำแสดงโดย Tom Hanks, Edward Burns, Matt Damon, Tom Sizemore พร้อมทั้งนักแสดงชั้นนำอีกจำนวนมาก เป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1998 ได้รับรางวัลมากมายหลายรางวัลและเป็นภาพยนตร์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น





เรื่องราวเกิดขึ้นระหว่างการสู้รบหลังการยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่ง normandy (ที่เรียกว่า D-Day เมื่อ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944) บนชายหาด Omaha Beach ซึ่งตามประวัติศาตร์กล่าวว่าเป็นสถานที่ที่มีการสู้รบอย่างรุนแรงและมีการสูญเสียมากที่สุดในปฏิบัติการนี้ ทหารเดนตายหมู่หนึ่งถูกมอบภาระกิจให้ปฏิบัติการพิเศษหลังแนวรบของข้าศึก เพื่อตามหาตัวและส่งกลับพลทหาร Jame Francis Ryan ซึ่งพี่ชาย 3 คนของเขาที่เป็นทหารในกองทัพสหรัฐเสียชีวิตทั้งหมดในสมรภูมิ ให้กลับถึงบ้านเพื่อพบหน้าแม่ของเขาอย่างปลอดภัย พวกเขาเรียกปฏิบัติการนี้ว่า "ปฏิบัติการเพื่อการประชาสัมพันธ์ของกองทัพ"

ก็อย่างที่เราได้เคยร่ำเรียนกันมาสมัยมัธยมปลายว่า กองกำลังสัมพันธมิตรทุ่มกำลังครั้งใหญ่นี้ก็เพื่อยุติมหาสงครามโลกครั้งที่สองนี้ให้จงได้ การสู้รบจึงดำเนินไปอย่างรุนแรงและเกิดความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์สงคราม

แม้ว่าการนำเสนอภาพการสู้รบบนชายหาดของภาพยนตร์ทำได้อย่างสมจริง ท่ามกลางฉากที่ยิ่งใหญ่ราวกับย้อนไปถ่ายทำในเหตุการณ์จริง ทุกฉากเป็นไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจจนแทบจะต้องกลั้นใจดู แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอ หากแต่เป็นฉากหลังจากการสู้รบได้สงบลงเมื่อสามารถยึดที่มั่นบนชายฝั่งได้แล้ว

ผมคงต้องสารภาพว่าได้ดูหนังเรื่องนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ทุกครั้งเมื่อถึงตอนที่ผมกำลังจะเล่านี้ ผมอดน้ำตาซึมไม่ได้สักที..มันเป็นฉากหลังการสู้รบบนชายหาด ตัดกลับมาที่กองบัญชาการส่วนหลัง (War Department) ในภาพแสดงให้เห็นขณะที่เจ้าหน้าที่หญิงจำนวนมากกำลังพิมพ์โทรเลขแสดงความเสียใจถึงการเสียชีวิตของทหารในสมรภูมิเพื่อส่งให้ญาติที่อยู่แนวหลังทราบ ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจและเร่งรีบด้วยสีหน้าของความสลดหดหู่ (ไม่พบว่ามีการหัวร่อต่อกระซิก ชวนคุยเรื่องละครเมื่อคืน หรือเคี้ยวมะยมดองไปด้วยแต่อย่างใด)

จากจำนวนของเจ้าหน้าที่และกองเอกสารที่พิมพ์เสร็จ สามารถคาดเดาถึงจำนวนของผู้สูญเสียว่ามีมากมายเพียงใด หัวหน้าเจ้าหน้าที่พิมพ์ดีด(War Department Clerk แสดงโดย Valerie Colgan)กำลังหยิบเอกสารโทรเลขเหล่านั้นมาตรวจอ่านคร่าวๆทีละแผ่น เธอสะดุดกับฉบับหนึ่ง พร้อมกับพลิกกองโทรเลขบนโต๊ะหยิบอีกฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่านเทียบกับฉบับแรกอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเธอก็ผลุนผลันไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพร้อมกับหยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นมาเปิดแล้วดึงโทรเลขฉบับหนึ่งออกมาอ่านทำท่าเหมือนอุทานอะไรสักอย่าง จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปที่ห้องผู้บังคับบัญชาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บังคับหมวด(War Department Lieutenent แสดงโดย Eric Loren)ทั้งคู่อ่านเอกสารทั้งสามแผ่นอย่างตั้งใจแล้วรีบพากันเข้าไปพบผู้บังคับกอง(War Department Captain นำแสดงโดย David Wohl) จากนั้นทั้งหมดก็พากันไปยังห้องของผู้บังคับการ (War Department Colonel แสดงโดย Bryan Cranston) โดยมีผู้กองรายงานพอจับใจความได้ว่าที่พวกเขาพากันมาที่นี่ก็เพราะรู้ว่าบ่ายวันนี้จะมีแม่คนหนึ่งที่ได้รับโทรเลขจากกองทัพเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกชายเธอถึง 3 คนในเวลาเดียวกัน

ตัดมาที่ฉากในบ้านของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังทำงานบ้านอยู่ภายในบ้านซึ่งแขวนรูปดาวสี่ดวง(อันมีความหมายว่าบ้านนี้มีสมาชิกในครอบครัวเป็นทหาร) เธอเห็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเธอรู้ว่าเป็นรถของกองทัพกำลังวิ่งตรงมายังบ้านของเธอ เธอคงจะรู้ด้วยประสบการณ์หรือสัญชาตญาณว่านี่คงจะเป็นผู้ส่งข่าวร้ายของลูกชายเธอ จึงได้รีบออกมาเปิดประตูรอและพลันที่เห็นนายทหารพร้อมกับบาทหลวงคนหนึ่งออกจากรถตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าเห็นใจยิ่ง เธอถึงกับทรุดลงนั่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรงจนผู้มาเยือนทั้งสองต้องรีบเข้ามาประคองพร้อมกับเอ่ยปลอบใจ



เฉพาะ scene นี้ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 นาที ภาพยนตร์สื่อสารกับผู้ชมด้วยท่าทางและความรู้สึกของผู้แสดงโดยแทบไม่มีคำพูดหลุดออกมาเลย แต่มันเป็นช่วงที่ทำให้เกิดความรู้สึกบีบคั้นเป็นที่สุด...

และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง เมื่อความทราบถึงนายพล George C. Marshall ผู้บัญชาการกองทัพ ปฏิบัติการเพื่อนำพลทหารผู้หนึ่งกลับบ้านอย่างปลอดภัยก็เกิดขึ้น..

ผมเอาภาพยนตร์เรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับ "Leadership" อย่างไรขออนุญาตยกไปตอนที่ 2 แล้วกันนะครับ หากใครได้อ่านบันทึกนี้แล้วมีภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในครอบครอง ลองเปิดดูพร้อมกับเปิดตำราเทียบดูนะครับ แล้วท่านจะเห็นว่า มีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ถูกบันทึกลงเป็นตำรา แต่มันเป็นคุณสมบัติที่ขาดเสียมิได้สำหรับการเป็นผู้นำ..!

 

ขอขอบคุณภาพจาก internet

หมายเลขบันทึก: 383216เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2010 23:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อยากเห็นผู้นำในวงการศึกษาไทยบ้าง จะได้เห็นมั๊ยคะ

หนังเรื่องนี้ แฝง บางอย่างไว้ น่าชื่นขม จริงแล้ว ประเทศเราก็ดูแล เรื่องเหล่านี้เหมือนกันะครับ

  • พี่ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ เล่าเรื่องได้งดงาม ภาพสวย เรื่องน่าประทับใจ โดยเฉพาะซีนที่น้องพูดถึง
  • เห็นด้วยกับคุณที่บอกว่าหนังสงครามดีๆ แฝงความเป็น Drama ดูแล้วเกิดความสะเทือนใจ ให้ข้อคิดมีมากมายค่ะ
  • หนังสงครามที่สวย และน่าสะเทือนใจอีกเรื่องคือ Thin Red line  ดูรึเปล่าคะ  คิดจะหาแผ่นมาดูอีกสักครั้งค่ะ
  • เข้ามาทำความรู้จัก และดีใจที่รู้จักคนชอบดูหนังเหมือนกัน  พี่ดูหนังเป็นกิจวัตรมากว่าสี่สิบปี
  • คงได้ดู Outsider แล้วสินะ

เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านอาจารย์ JJ มาเยี่ยมบ้านครับ

ขอบคุณ คุณครูต้อยครับที่มาเยือน

ถ้าเจอเรื่องสิ่งประดิษฐ์ดีๆที่จะพัฒนาเด็กเราได้จะเอามาฝากอีกครับ

ขอบคุณคุณพี่ nui ครับที่มาเยือน สงสัยจะเป็นคอเดียวกัน

บันทึกนี้ที่จริงยังไม่จบเขียนตอนต่อไว้แล้ว บังเอิญติดภารกิจ

จะเขียนให้เสร็จซะหน่อย Notebook เสียซะก่อน ยังไม่ได้แคะเอาฮาร์ดดิสก์ออกมาเลยครับ

เดี๋ยวกู้ได้แล้วจะเอามาลงต่อครับ

ใช่ขอรับอาจารย์ ความรู้ และอารมณ์ที่ปรากฎ ในหนังเรื่องนี้

หนังสือ leadership หมดความหมายไปเลย

เพิ่งตามมาอ่านครับ

ผมคงเป็นเช่น Ico48 Lungnoke คือ ชอบดูภาพยนตร์สงครามด้วยเหตุผลเดียวกัน

Saving Privat Ryan คือ ภาพยนตร์ที่ประทับใจที่สุด ถือเป็นเรื่องโปรดปรานมาก ๆ ครับ

ขอบคุณมากครับ ;)...

ที่เจ้าหน้าที่หญิงจำนวนมากกำลังพิมพ์โทรเลขแสดงความเสียใจถึงการเสียชีวิตของทหารในสมรภูมิเพื่อส่งให้ญาติที่อยู่แนวหลังทราบ ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจและเร่งรีบด้วยสีหน้าของความสลดหดหู่ (ไม่พบว่ามีการหัวร่อต่อกระซิก ชวนคุยเรื่องละครเมื่อคืน หรือเคี้ยวมะยมดองไปด้วยแต่อย่างใด) ... ประโยคนี้ กับความตกใจเมื่อรู้ว่าแม่คนหนึ่งกำลังจะเสียลูกชายสามคน เพราะ 'ความใส่ใจ' งาน และความรู้สึกผู้อื่นอย่างแท้จริง

ขอบคุณมากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท