เคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า คนที่ศึกษาคนอื่นเป็นคนฉลาด แต่คนที่ศึกษาตัวเองคือคนที่สามารถเดินไปสู่การรู้แจ้งได้ ลองใช้เรื่องราวจากหนังสือเล่มนี้ช่วยในการพิจารณามองลึกลงไปในตัวเราเองด้วยกันนะคะ..
จอห์นเป็นทนายความที่เคยทำงานเป็นลูกน้องของจูเลียนในสำนักงานทนายความที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง จอห์นชื่นชมการทำงานที่มีประสิทธิภาพของจูเลียนมาโดยตลอด หลังจากที่จูเลียนกลับมาจากการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองในดินแดนแถบอินเดีย เขาพบกับจอห์นเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่เขาได้รับให้กับลูกน้องคนสนิท เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากอาจารย์โยคีที่เขาได้พบมีค่ามหาศาลที่จะนำแสงสว่าง ความสุขสงบให้กับจอห์น จูเลี่ยนเชื่อว่า การที่เราตั้งใจที่จะช่วยแต่งเติมชีวิตของผู้อื่นให้ดีงามขึ้น ชีวิตของเราเองก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง ใครก็ตามที่ทำเพื่อคนอื่นมากเท่าไหร่ เขาจะได้รับผลตอบแทนทั้งทางด้านอารมณ์ กาย จิตและวิญญาณมากเท่านั้น
จุดมุ่งหมายในชีวิต - ประภาคาร
จูเลี่ยนเล่าว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราเปรียบได้กับประภาคารที่เรือต่างใช้เป็นเครื่องชี้นำทิศทางเป็นเครื่องหมายช่วยการเดินเรือในท้องทะเลกว้าง หากประภาคารเป็นดั่งดวงประทีปแห่งท้องทะเล จุดมุ่งหมายในชีวิตก็คงเป็นดวงไฟในชีวิตที่มืดมน คนที่รู้แจ้งย่อมรู้เป้าหมายของชีวิตว่าเขาต้องการให้ชีวิตเป็นอย่างไรทั้งในด้านวัตถุ อารมณ์ กาย และวิญญาณ เขาสามารถที่จะวางแผนชีวิตและทิศทางเดินให้ถึงจุดหมายได้ชัดเจนขึ้น คนที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรในชีวิต อาจไม่มีวันรู้รสชาดของความสำเร็จเลย เหมือนกับการยิงธนูโดยใช้ผ้าปิดพลางตา โอกาสพลาดเป้าก็มีสูงแม้เราจะมีความตั้งใจและฝึกฝนมามากแค่ไหนก็ตาม เบนจามิน ดิสราลี อดีตรัฐบุรษชื่อดังของอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า เคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ที่การมีเป้าหมายที่ชัดเจน
คนที่มีจุดหมายที่ชัดเจนจะรู้ถึงความสุขที่เกิดในระหว่างการเดินไปสู่จุดหมายนั้นยิ่งจุดมุ่งหมายนั้นมีคุณค่ามากเท่าไหร่ ความสุขที่จะเกิดขึ้นในการเดินทางสู่เป้าหมายนั้นก็ยิ่งมากขึ้น
การตั้งเป้าหมายแล้วบันทึกไว้เป็นตัวอักษรเก็บไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้ชัดจะช่วยเตือนสติเราได้ดีขึ้น การมีบันทึกจะช่วยเครื่องย้ำเตือนให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเรามีจุดเด่น จุดด้อยตรงไหน เรามีความฝันและความหวังอะไรบ้าง สุภาษิตจีนกล่าวเอาไว้ว่ามีกระจกอยู่ 3 ด้านที่สะท้อนให้เห็นบุคคลหนึ่ง ด้านแรกคือด้านที่เรามองเห็นตัวเอง ด้านที่สองด้านที่คนอื่นมองเห็นตัวเรา และด้านที่สามคือกระจกที่สะท้อนถึงความเป็นจริง เราควรรู้จักตัวเอง รู้จักความจริง.. อย่างที่เล่าไปในตอนที่ 1 ว่า ในวันหนึ่งๆ มีความคิดที่ผ่านเข้ามาในสมองของเราโดยเฉลี่ยประมาณ 60,000 เรื่อง หากเราไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจนเราอาจใช้เวลาที่มี กับเรื่องราวที่ไม่สลักสำคัญแต่บังเอิญผ่านมาให้คิด กว่าจะคิดจบก็เสียเวลาไปมากแล้ว หากเราจุดหมายเป็นเครื่องเตือนใจมันอาจช่วยให้เราสลัดสิ่งที่ไม่สำคัญอีก 59,999 เรื่องออกไป และตั้งใจโฟกัสกับสิ่งที่เราควรทำได้ จิตใจที่มีเป้าหมายจะเป็นดั่งขีปนาวุธนำวิถี
ประโยคหนึ่งที่เคยอ่านจากหนังสือรวมคำสอนของอาจารย์ชา สุภทฺโท แวบเข้ามาในสมอง “Don't tarry picking berries along the way. Before you know it, night falls” ท่านพูดว่า "อย่ามัวแต่ละล้าละลังเก็บลูกไม้ในระหว่างทาง กว่าจะรู้ตัวพระอาทิตย์ก็ตกดินไปเสียแล้ว (ยังไม่ถึงที่หมายสักที)"
การตั้งจุดหมายเป็นสิ่งสำคัญ และจุดหมายที่ดีก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ชีวิตจะให้ในสิ่งที่เราขอเสมอ จุดมุ่งหมายควรเป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำ ทำแล้วมีความสุข แล้วเราจะทำได้ดี สำหรับบางคนการได้ช่วยเหลือผู้อื่นอาจเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิต การได้ทำในสิ่งนั้นจะสร้างความสุขใหญ่หลวงให้กับเขา และเขาจะทำทุกวิถีทางให้วัตถุประสงค์นั้นสำเร็จได้ ฉันเชื่อว่าเขาทำได้ดีด้วย
ในจุดหมายใหญ่แห่งชีวิตเราอาจตั้งจุดหมายเล็กๆ ขึ้นด้วยแล้วลองเดินตาม หากทำได้มันจะเป็นกำลังใจที่ดีเพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินไปสู่จุดหมายใหญ่ได้ เช่นการตื่นเช้ากว่าปกติหนึ่งชั่วโมง ฯลฯ จากความสำเร็จเล็กๆ บ่อยๆ วันหนึ่งเราอาจรู้สึกว่าไม่มีจุดหมายใดที่เราจะไปไม่ถึง ถ้าตั้งใจจริง
เมื่อรู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต การลงมือทำถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จเพราะหนทางหมื่นลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก จูเลียนแนะวิธีการเริ่มเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมาย ง่ายๆ ดังนี้
จินตนาการผลลัพธที่จะได้์เป็นรูปภาพในใจ เช่นบ้านหลังใหม่, ภาพตัวเองที่มีสุขภาพที่ดี, ภาพตัวเองที่มีจิตที่สงบสุข
สร้างความกดดันเล็กน้อยให้กับตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจกลับไปสู่นิสัยเดิมๆได้ บางครั้งแรงกดดันสามารถเค้นเอาความสามารถเล้นรับที่เรามีออกมาได้ การบอกเล่าถึงจุดหมายของเราให้เพื่อนสนิทฟัง ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างแรงกดดันที่ดีให้กับเราได้
ควรกำหนดเวลาไว้ในจุดมุ่งหมายด้วย ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการเดินไปถึงจุดหมายนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจมัวแต่เก็บลูกไม้เพลินจนลืมเวลา
เป้าหมายบางอย่างอาจต้องการการเปลี่ยนแปลงจากวิถีปกติเพื่อไปสู่สิ่งที่ต้องการนิสัยที่ไม่ดีลบไม่ได้แต่เราสามารถเปลี่ยนมันได้ ให้เวลาในการเปลี่ยนนิสัยตัวเอง 21 วัน เช่นหากจุดประสงค์คือการตื่นแต่เช้า ออกกำลัง เราต้องทำติดต่อกันเป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเป็นนิสัย เป็นอัตโนมัต
มีความสุขกับกระบวนการนั้น ถึงแม้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในการเดินทางไปสู่จุดหมายเราไม่ควรลืมการมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ควรลืมมองความงดงามแห่งชีวิตรอบตัว
หากจุดหมายในชีวิตคือการค้นพบตัวเอง จากวันนี้เราควรเริ่มควบคุมชีวิตของเรา ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะเป็นเจ้านายของชีวิตเรา แข่งขันในเกมส์ที่เราตั้งขึ้น ค้นหาสิ่งที่เรารักที่จะทำแล้วเริ่มตั้งแต่บัดนี้ เราจะรู้สึกถึงพลังอันมหรรศจรรย์ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในตัวเราและกำลังรอการค้นพบและนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จำไว้ว่า สิ่งที่เกิดรอบตัวขึ้นในอดีต ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราเอง..ในปัจจุบันขณะ
บันทึกนี้มีค่ามาก ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ คุณบีเวอร์ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม และขอบคุณสำหรับความเห็นค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ