เรื่องที่ 4...เพราะในหนึ่งชีวิติที่เกิดมา..มาจากธรรมชาติ และกลับสู่ธรรมชาติเสมอ..และคำว่าธรรมชาติก็อยู่รอบตัวเรา...คำคำหนึ่งที่ทุกคนใช้กับธรรมชาติคือ สิ่งแวดล้อม...
ก้าวล่วงเข้าสู่ปีที่ 11 กับ
นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับชาติ 8 ปี กับแผนการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายใต้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งชาติ อาณาจักรไทยทั้งสอง 2 ฉบับ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ.2540 และ 2550 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บนหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชนและการกระจายอำนวจการบริหารจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิของความเป็นมนุษย์ผู้ตั้งถิ่นฐานในชุมชนท้องถิ่นก่อนบทบัญญัติแห่งกฏหมายมีผลใช้บังคับ
ยุทธศาสตร์หลัก 4 ประการ ตามแผนการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย
1. การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม
2. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
3. การอนุรักษ์ทรัพยากรมนุษย์
4. การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษ
การบริหารยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ประการ ในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมาได้รับการประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรมจากหน่วยงาน และองค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ัหันไปมองประชาชนผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่พิพาท บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิชุมชนมากน้องเพียงใด ปัญหารูปธรรมที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดภาวะมลพิษหรือมีแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ ชุมชน องค์กรของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างยึดถือและใช้บทบัญญัติแห่งกฏหมายขององค์กรและหน่วยงานของตนออกมาบังคับใช้และตอบโต้ราษฎรเจ้าของปัญหา ในหลายพื้นที่การประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองเกิดจากกระบวนการการต่อสู้ขององค์กรประชาชนทั้งในรูปธรรมของโครงการสร้งโรงไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัด ฉะเชิงเทราและมลภาวะทางเสียงของประชาชนใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะเกิดจากกระบวนการปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชน....
เหตุการณ์ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดที่กล่าวถึงหากรัฐบาลต้องการให้เิกิดผลในทางที่ดีต่อประชาชนในประเทศแล้ว ไม่เห็นต้องรอให้เรื่องแต่ละเรื่องเปิดเผยต่อสาธารณะชนก่อนเลย เช่นเรื่องการสร้างเขื่อนแล้วจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชน แต่ไม่สามารถทำมาหากินได้ เช่นเขื่อนที่จังหวัดอุตรดิตถ์...เป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ ทัศนียภาพสวยงามแต่ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เป็นเขื่อนได้มาจากที่นาของประชาชนที่ทำนาเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงลูกหลานและใช้ชีวิตที่พอเพียง มากว่า 100 หลังคาเรือน...หลังจากการสร้างเขื่อนรัฐบาลได้จัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชนตาดำ ๆ จริง แต่เป็นที่ดินที่อยู่บนพื้นที่ภูเขา เป็นหิน เป็นผา ประชาชนได้ที่ดินมากันแต่ละครอบครัวตั้ง 20 ไร่ เป็นที่ปลูกบ้านที่เป็นพื้นที่ภูเขาจำนวน 2 ไร่ เป็นที่ทำกิน ที่ไม่สามารถทำมาหากินบนพื้นที่ได้ จำนวน 18 ไร่ ตั้งแต่พุทธศักราช 2510 ประชาชนอยู่กันอย่างอดทน อดกลั้น ในน้ำไม่มีปลา ไม่มีในนาให้เห็นข้าว แต่ละครอบครัวจึงหาทางออกโดยการทำไร่เลื่อนลอยในป่าลึก ในพื้นที่ที่พอจะเป็นดินบ้าง เมื่อหาเงินได้จากการขายข้าวโพด ก็นำมาจ้างนายทุนขุดนาเพราะเพียงหวังว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมจะกลับมา แต่พอขุดนาเสร็จ ไม่มีน้ำทำนา ทั้งที่อยู่ใกล้เขื่อนแค่ตามองเห็น น้ำในเขื่อนที่ชาวบ้านสละที่นาทีเป็นชีวิตและลมหายใจของเขาให้ กลับใหลผ่านลงสู่คนในเมืองเพื่ออำนวยความสะดวก ทั้งปะปา และไฟฟ้า หลังจากนั้นทุกครัวเรือนต้องดิ้นรนโดยการออกมาทำงานใช้แรงงานที่กรุงเทพเพื่อหาเงินไปเลี้ยงคนในครอบครัวที่จากบ้านเดิมมา...ที่ดินที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ ชาวบ้านสวนใหญ่ก็ปลูกต้นสักทองไว้ ดีกว่าทิ้งร้าง..แต่เคราะซ้ำ กรรมซัด..หากต้องการตัดต้นสักทองเพื่อเอามาสร้างบ้าน ปลูกเรือน..ต้องไปแจ้งที่อำเภอและเสียเงินค่าตัดอีก..มีรัฐบาลชุดใดบ้างที่เหลียวแล..แต่ความลำบากเหล่านี้ประชาชนตาดำ ๆ ก็ไม่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลวุ่นวายใจสักครั้ง..เพียงหวังว่าสักวันรัฐบาลที่รักประชาชนคงจะเห็นใจและลงมาดูบ้าง...
แม้ปัจจุบันนี้...หลายครอบครัวพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้างเพราะรับจ้างส่งลูกเรียนจนจบได้รับราชการ มีเงินเดือนพอช่วยเหลือดูแลพ่อแม่ แต่อีกหลายร้อยครอบครัวก็ยังลำบากมาก..ยังต้องออกไปขายแรงงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จึงทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...สิ่งเหล่านี้ที่เล่ามาเป็นเพียงเศษเสี่ยวเดียวของความลำบากของพี้น้องคนจังหวัดอุตรดิตถ์ อำเภอท่าปลา....หากแม้ข้อความนี้มีผู้อ่านพบอยู่ในรัฐบาล ฝากความเอาใจใส่เพียงเล็กน้อย ขอลงสู่ชาวบ้าน อำเภอท่าปลาเรื่องที่ดิน ที่นา น้ำทำนา น้ำดื่ม น้ำใช้ที่ชาวบ้านขาดแคลนในขณะนี้ด้วยนะคะ
ปัจจุบัน...ชาวอำเภอท่าปลาซื้อน้ำดื่มทั้งที่อยู่ใกล้เขื่อนเก็บน้ำ...
อ้าว...งัยเนี่ย..
งั้น...สิ่งแวดล้อมก็เป็นชีวิตที่แวดล้อมด้วยชีวิต..(งงเอง..!) จบ
(..ว่างๆ ก็ click..ได้)