วิเคราะห์นโยบายการศึกษารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนโยบายการศึกษาได้กำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต รวม ๘ ประการ ดังนี้
๑. ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และระดมทรัพยากรเพื่อการปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษา ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา พัฒนาครู พัฒนาระบบการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตร รวมทั้งปรับหลักสูตรวิชาแกนหลักรวมถึงวิชาประวัติศาสตร์ ปรับปรุงสื่อการเรียนการสอน พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ ปรับบทบาทการศึกษานอกโรงเรียนเป็นสำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต และจัดให้มีศูนย์การศึกษาตลอดชีวิต เพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดถึงการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นคุณธรรมนำความรู้อย่างแท้จริง
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๑ เป็นนโยบายที่เน้นปฏิรูปโครงสร้างมากเกินไป แต่ไม่เน้นปฏิรูปกระบวนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้อง คือการพัฒนาจากฐาน ไม่ใช่พัฒนาจากยอดอย่างที่ทำกันมา ส่งผลให้ผลการศึกษาเสื่อมลง การพัฒนาจากฐานคือพัฒนาที่โรงเรียน ครู ที่จัดการเรียนรู้ได้ผลดี โดยส่งเสริมให้ขยายเครือข่ายวิธีจัดการศึกษาที่มีคุณภาพออกไป การปฏิรูปการศึกษาไม่ควรเน้นที่ปริมาณของผู้ที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรเน้นที่คุณภาพให้มากที่สุด เด็กคนไหนที่มีความตั้งใจใฝ่เรียนรัฐต้องส่งเสริมให้เรียนจนจบการศึกษาชั้นสูงสุดตามที่อยากเรียน ควรยกเลิก พรบ.การศึกษาภาคบังคับ เพราะการบังคับให้เด็กที่ไม่อยากเรียนมาเรียนหนังสือทำให้เป็นการฝืนใจ และไม่มีความตั้งใจและอยากที่จะเรียนอยู่แล้ว ต้องเข้ามาเรียน และสร้างปัญหาให้เด็กที่มีความตั้งใจในการเรียน
๒. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ โดยมุ่งเน้นในระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อให้สนองตอบความต้องการด้านบุคลากรของภาคเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๒ ภาคเอกชนเป็นภาคที่มีความสำคัญมากในการรองรับผลผลิตที่เกิดจากกระบวนการศึกษาไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนในการจัดการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันและในอนาคต
๓. พัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้ครูดี ครูเก่ง มีคุณธรรม มีคุณภาพ และมีวิทยฐานะสูงขึ้น ลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนตามโครงการคืนครูให้นักเรียน มีการดูแลคุณภาพชีวิตของครูด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตครู ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เน้นการพัฒนาเนื้อหาสาระและบุคลากร ให้พร้อมรองรับและใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างคุ้มค่า
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๓ ควรมีการพัฒนาครูในทุกสาขาที่มีการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน เช่น เกษตร ศิลปะ คหกรรม ดนตรี ซึ่งที่ผ่านมาในรอบหนึ่งปีแทบจะไม่มีการอบรมพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสาระที่กล่าวมา ส่วนมากจะมีเฉพาะ ภาษาไทย คณิต วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ การลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนตามโครงการคืนครูให้นักเรียน (ครูธุรการ) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกลายเป็นว่า “รับใครก็ได้” ที่ไม่เกี่ยวข้องการปฏิบัติงานในสายงาน (ทำไมไม่รับให้ตรงสาขาวิชาไปเลย) ยกตัวอย่างที่โรงเรียน ก ได้รับครูธุรการมาหนึ่งคนวิชาเอกอุตสาหกรรม (เกี่ยวกับธุรการตรงไหน) แต่ในขณะเดียวกันครูคนนี้ต้องทำงาน 2 โรงเรียนคือ โรงเรียน ข วันจันทร์ อังคาร พุธ ทำงานที่โรงเรียน ก วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ทำงานที่โรงเรียน ข สุดท้ายครูที่อยู่ในโรงเรียนก็เป็นผู้ที่ทำงานธุรการเหมือนเดิม
การส่งเสริมให้ครูมีวิทยฐานะที่สูงขึ้น โดยหลักการเป็นเรื่องที่ดี แต่ในกระบวนการไม่มีความโปร่งใส (บางคนจ้างทำผลงาน) และการทำผลงานเพื่อเสนอขอวิทยฐานะเน้นที่ตัวเอกสารมากเกินไปซึ่งแทนที่จะเน้นที่ตัวนักเรียน ตัวอย่างเช่น โรงเรียน ค เป็นมีครู 12 คน มีครูที่มีวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ 6 คน (ซึ่งถือว่ามาก) มองตามบริบทพื้นฐานแล้วน่าจะดี แต่กลับไม่ผ่านการประเมินของ สมศ.
การพัฒนาบุคลากรให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเรื่องที่ดีและก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในหน่วยงานและเรื่องการนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน โดยต้องมีการอบรมโปรแกรมประยุกต์ใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในโรงเรียนและผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม
๔. จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี ๑๕ ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เกิดความเสมอภาคและความเป็นธรรม ในโอกาสทางการศึกษาแก่ประชากรในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ทั้งผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ผู้บกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา และชนต่างวัฒนธรรม รวมทั้งยกระดับการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชน
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๔ แนวคิดรัฐบาลในการผลักดันให้เด็กเรียนฟรีเป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ครูส่วนใหญ่เห็นด้วยเพราะจะเกิดผลดีกับเยาวชน และผู้ปกครองเองก็สามารถเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพให้กับบุตรหลาน โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะว่ารัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ผู้ปกครองนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนา ส่วนใหญ่ประสบปัญหาความยากจน หากมีนโยบายเรียนฟรีจะทำให้ผู้ปกครองสามารถเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพให้กับบุตรหลานได้ นอกจากนี้ หากมีนโยบายเรียนฟรีจะทำให้โรงเรียนต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับโรงเรียนอื่นในละแวกใกล้เคียง หรือว่าในตำบลเดียวกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ปกครอง และถือว่าเป็นการยกระดับโรงเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น
การที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณให้กระทรวงการศึกษาธิการ นับหมื่นล้านบาท และสานต่อนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี โดยมีงบประมาณอุดหนุนเพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการศึกษานั้น นับว่าเป็นโอกาสดีของเด็กทั่วประเทศที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับพื้นฐาน เพื่อต่อยอดสู่ระดับที่สูงขึ้น แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลควรเร่งดำเนินการพัฒนาบุคลากร หลักสูตรการสอนและสื่อการเรียนการสอนควบคู่ เพื่อให้ผลลัพธ์ทางการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุดโดยเร็วด้วย
๕. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ โดยการจัดกลุ่มสถาบันการศึกษาตามศักยภาพ ปรับเงินเดือนค่าตอบแทนของผู้สำเร็จอาชีวศึกษาให้สูงขึ้น โดยภาครัฐเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างของการใช้ทักษะอาชีวศึกษาเป็นเกณฑ์กำหนดค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในงาน ควบคู่กับการพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๕ ควรมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ในระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กำหนดค่าตอบแทนให้มีความสอดคล้องกับความรู้ความสามารถและความก้าวหน้าในงานที่ปฏิบัติ รัฐต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้การศึกษาระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของท้องถิ่นมีการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ที่มีความสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนและท้องถิ่น
๖. ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ให้มีการประนอมและไกล่เกลี่ยหนี้ รวมทั้งขยายกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอาชีวศึกษาและปริญญาตรีเพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๖ รัฐต้องวางแผนการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการโดยขยายกองทุนและวงเงินกู้ เพื่อให้ผู้ที่มีความตั้งใจในการศึกษาหาความรู้ทั้งในระดับอาชีวศึกษาและในระดับมหาวิทยาลัย
มีการบริหารจัดการหนี้เสีย การประนอมและไกล่เกลี่ยหนี้ที่ผูกพันกับ กยศ. โดยใช้หลักคุณธรรมและหลักนิติธรรม
๗. ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๗ การส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ โดยรัฐบาลได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ติดตั้งคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (หลายโรงเรียนกำลังดำเนินการ ตามงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ SP2.) เพื่อเปิดโลกกว้างในการศึกษาหาความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับคำว่าการศึกษาตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตามการใช้ระบบอินเทอร์เน็ต ต้องมีการควบคุมดูแลการใช้สำหรับนักเรียนอย่างใกล้ชิดเพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการถูกล่อลวงของมิจฉาชีพ
๘. เร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและเรียนรู้อย่างมีบูรณาการในทุกระดับการศึกษาและในชุมชน โดยใช้พื้นที่และโรงเรียนเป็นฐานบูรณาการทุกมิติ และยึดเกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก ในการยกระดับคุณภาพโรงเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และส่งเสริมความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและวิจัยพัฒนาในภูมิภาค รวมทั้งเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตในชุมชน โดยเชื่อมโยงบทบาทสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันทางศาสนา
การวิเคราะห์ นโยบายข้อที่ ๘ ในการจัดสรรงบประมาณในด้านการศึกษาควรมีการมองในหลายๆด้าน หลายๆมิติ โดยยึดเพียงแค่เกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาแต่ไม่ใช่การยึดผลการประเมิน รัฐควรจัดสรรงบประมาณที่มีความจำเป็นในการจัดการศึกษาในปัจจัยพื้นฐานของโรงเรียนให้เหมือนกันทั่วประเทศ ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียน ก เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียน 1,000 คน มีจำนวนครู 35 คน งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมีจำนวนมาก ขณะที่โรงเรียน ข เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียน 150 คน มีจำนวนครู 8 คน ถ้าจัดสรรงบประมาณตามคือคิดตามรายหัวนักเรียน ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับงบประมาณในการบริหารจัดการน้อยมาก (แม้ปัจจุบันรัฐจะอุดหนุนให้มากขึ้น) เพื่อแก้ไขปัญหาที่กล่าวมารัฐควรมีการลงทุนด้านการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กให้มากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาของภูมิภาคโดยรัฐต้องจัดสรรงบประมาณและทุนเพื่อให้เกิดการวิจัยและนำผลมาพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ ต้องมีการประสานงานกันระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียนในการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
จากการวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายที่สามารถนำไปใช้และมีความสอดคล้องกับโรงเรียนมากที่สุดคือ นโยบายข้อ 4 คือ จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี เพราะเป็นโอกาสดีของเด็กทั่วประเทศที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับพื้นฐาน เพื่อต่อยอดสู่ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่มุ่งเน้นในการปฏิรูปในรอบที่ 2 (พ.ศ.2552-2561) คือ ในด้านโอกาส ให้คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกประเภท ได้เข้าถึงการศึกษาการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ถึงแม้ว่าสภาวะทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ ค่อนข้างที่จะขาดเสถียรภาพแต่เชื่อว่า นโยบายที่ส่งเสริมการศึกษาเช่นนี้จะยังคงอยู่กับเด็กไทยต่อไป
นโยบายเพ้อฝัน กับความเป็นจริงที่กระทำ มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เรียนฟรี 15 ปี แต่เสียค่าจุกจิกเยอะเหลือเกินถามจริงมันเรียนฟรีตรงไหนเนี่ย ผมไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้เท่าไหร่เพราะ
รัฐบาลยังอยู่ภายใต้อุ้งเท้าระบอบอำมาตย์
ตั้งแต่อดีต
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้ถูกจำกัดบทบาทในสังคมเป็นอย่างมาก แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็มีความพยายามที่จะกลับมามีอำนาจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่การสนับสนุนให้ พระ วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พยายามก่อการยึดอำนาจจากรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา แต่ต้องประสบกับความล้มเหลว อันเป็นที่มาของ "กบฏบวรเดช"[8] แต่แล้วความพยายามที่จะกลับมามีอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็ประสบความสำเร็จโดยการสนับสนุนให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สำเร็จ และจอมพล สฤษดิ์ ได้ขยายบทบาทและอำนาจ ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้กว้างขวางมากขึ้น[9] สืบเนื่องกันมา 16 ปี จนถึง ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ขึ้น ซึ่งพลังทางสังคม ได้ลุกฮือโค่นล้มรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร อันเป็นเหตุให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมถูกลดบทบาทและความสำคัญลง จาก 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 เป็นช่วงเกือบ 3 ปีที่ประชาธิปไตยเบ่งบานในสังคมไทยและในทางตรงกันข้ามเป็นช่วงที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่ในภาวะอ่อนแอ แต่แล้วเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เป็นการกลับมาอีกครั้งของฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยการก่อการรัฐประหารที่มี พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะ แต่ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์และพลังทางสังคมทั้งในและต่างประเทศในช่วงนั้น ได้หันไปสู่ความเป็นเสรีมากขึ้น กล่าวคือประชาชนเริ่มให้ความสำคัญกับหลักการสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม หลักสิทธิมนุษยชน และได้ให้ความสำคัญกับสถาบันการเมืองที่มาจากประชาชน มากขึ้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยม เลือกที่จะปรับตัวเพื่อต่อลมหายใจของกลุ่มตนเอง โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการครองอำนาจแบบใหม่ คือ แทนที่จะเข้าไปครอบงำฝ่ายการเมืองหรือรัฐบาลโดยตรงเหมือนเดิม ได้เปลี่ยนมาเป็นการเข้าไปครอบงำ ข้าราชการประจำเพียงบางส่วน คือ ข้าราชการทหาร(กองทัพ) รวมไปถึง การดึงเอา นักการเมือง และ กลุ่มทุน(นักธุรกิจ) มาเป็นพวก การปรับตัวของอนุรักษ์นิยมครั้งนี้เป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และ ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ เปรม ติณสูลานนท์ จนเป็นที่มาของคำว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” กล่าวคือระบอบที่มองดูผิวเผิน คล้ายจะเป็นประชาธิปไตย แต่มีหลายอย่างที่ไม่อาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นประชาธิปไตย เช่น มีการเลือกตั้งแต่เปิดโอกาสให้คนนอก(ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.) และข้าราชการประจำสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้[10] และถึงสภาผู้แทนราษฎรจะมาจากการเลือกตั้งแต่วุฒิสภามาจากการสรรหา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่เป็นทหาร(ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการ) ทำให้การบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ เอื้อให้สภาพทางการเมืองและการกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินถูกครอบงำโดยทหาร(กองทัพ) และกระบวนการ ขั้นตอน การนำนโยบายไปปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับข้าราชการพลเรือน
เพราะยังเป็นเช่นนี้นโยบายที่ก้าวหน้าก็คงเกิดอยากครับ