ความสุขจากหลากมุมมองจากท้องฟ้า


รู้ว่าจะไปไหน แต่ไปไม่ถูก ดีกว่าไปได้ทุกที่ แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน
ความสุขจากหลากมุมมองจากท้องฟ้า
 
ตอนเด็ก ๆ แม่บอกว่า ผมชอบนั่งมองท้องฟ้า มองได้ทุกเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งท้องฟ้ายามที่ฝนตกหนัก ๆ ซึ่งอาจมีฟ้าแลบ หรือฟ้าผ่าได้  จนแม่ต้องดุทุกครั้งไป  บอกให้รอฝนหยุดก่อนก็ได้
 
 
ทุกๆ วัน  ผมยังชอบมองท้องฟ้าอยู่  ผมว่า ท้องฟ้าเหมือนจอหนังกลางแปลง  ที่พร้อมจะฉายหนัง  หลากรส หลายเรื่องราว หลาย ๆ ครั้ง  ผมอดนึกไม่ได้ว่า ผมนั่งมองท้องฟ้าที่บ้านผม  จะเหมือนเพื่อน ๆ นั่งมองท้องฟ้าที่บ้านเพื่อนหรือเปล่านะ  ผมว่า คงไม่เหมือนกันแน่นอน
 
 
นี่คือ ความสุขจากหลากมุมมองจากท้องฟ้าของผม
 
 
แต่ก็มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจของผม  ที่บางครั้งชอบมองคนรอบ ๆ ข้างว่า ต้องมีความคิดและมีมุมองเหมือนแบบที่เราคิด  แต่อย่างไร ผมก็สามารถหลุดพ้นจากกับดักนี้อย่างรวดเร็วด้วยเรื่องเล่าของแม่
 
 
เรื่องเล่าที่แม่พูดให้ฟังมาหลายปี  แต่ผมยังจดจำเสมอ…
 
 
“นานมาแล้ว มีตาแก่ผู้น่าสงสารอยู่คนหนึ่ง  เมียและลูกเสียชีวิตไปนานแล้ว  แต่ก็ยังต้องมีภาระเลี้ยงหลาน ๆ อีกสี่คนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเองไปวัน ๆ ไม่ช่วยทำอะไรเลย  ดีแต่ทะเลาะกันทุกวัน ว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด  ที่ไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้
 
 
จนมาวันหนึ่งตาแก่ป่วยหนักกำลังจะตาย  ก็ยังอดห่วงหลานไม่ได้  เพราะกลัวว่าหลานที่เอาแต่ใจตัวเอง  จะอยู่ในสังคมในโลกที่มีแต่คำว่า “กูเก่ง” ไม่ได้  ก่อนตายจึงเรียกหลานทั้งสี่มานั่งล้อมรอบที่โต๊ะสี่เหลี่ยมแล้วให้หลานเอาผ้ามาปิดตาไว้ทั้งสี่คน  หลังจากนั้นก็ไปหยิบ “ตะเกียง ทรงสี่เหลี่ยมมาหนึ่งอัน  ซึ่งแต่ละด้าน  มีสีต่างกัน”  มาตั้งไว้กลางโต๊ะที่เด็กทั้งสี่นั่งล้อมคนละ  มุมอยู่แล้ว
 
 
หลานทั้งสี่เปิดผ้าผูกตาออกพร้อมกัน   จากนั้นตาแก่  ก็ถามหลานทั้งสี่คนว่า “เห็นตะเดียงสีอะไร”
 
 
หลานคนแรกบอกเห็น “สีแดง”
 
หลานคนที่สองบอกเห็น “สีเหลือง”
 
หลานคนที่สามบอกเห็น  “สีเขียว”
 
หลานคนที่สี่บอกเห็น “สีน้ำเงิน”
 
 
แล้วหลานทั้งสี่ก็เริ่มทะเลาะกันอีก  ว่าสีที่ตัวเองเห็นนั้นถูกต้อง  ตาแก่บอกว่า “ไม่มีใครผิด ใครถูกหรอกหลานเอ๋ย  “เพราะตะเกียงมันมีสี่ด้าน” ถ้าใครอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นถึงเห็นสีไม่เหมือนเรา  “เราก็ต้องเดินไปดูในมุมของเขา  เราก็จะเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงบอกว่า เขาเห็นสีนั้น”
 
 
“อย่ามองมุมของเรามุมเดียวแล้วตัดสิน”
 
 
เพราะคนเรามันต่างความคิดต่างมุมมอง  พอตาแก่พูดจบ แสงในตะเกียงก็ดับลงพร้อมกับชีวิตของเขา.
 
 
ทิมดาบ,  1 สิงหาคม 2553
 
ผมหายไปนานครับ เข้าอินเตอร์เนตไม่ได้ เพิ่งกลับจากภูเก็ต ไปนำเสนอผลงานวิชาการกระทรวง สัญญาว่า ผมจะเขียนถ้ามีโอกาส ผมจะไม่หายไปนาน ๆ ครับ
หมายเลขบันทึก: 382086เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2010 19:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ขอบคุณมากค่ะ จะติดตามอ่านนะคะ

ขอบคุณแง่คิดดีๆค่ะ..มีท้องฟ้าหน้าฝนมาฝากค่ะ....

ชอบมองท้องฟ้า ชมเมฆ เช่นกันค่ะ จะรอชมภาพน้องฟ้ากะนายเมฆ ฝั่งอิสาน นะคะ ขอบคุณค่ะ

  • บางครั้ง..
  • การนั่งมองท้องฟ้า
  • ปล่อยใจให้ว่าง
  • จะรู้สึกผ่อนคลายดีมากๆ
  • ชอบค่ะ เรื่องเล่ามองต่างมุม
  • ให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์จริงๆ.

ดีใจที่ได้อ่านค่ะ...

พี่กะปุ๋มก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า...

และทุกครั้งที่ได้มอง ทำให้รู้สึกว่าตัวเรานั้นเล็กนิดเดียว ... มองทีไรทุกข์หายไปทุกทีเพราะตัวเล็ก...ทุกข์จึงหาย...

Zen_pics_007 

ขอบคุณข้อคิดดีๆ จากธรรมชาติครับ

ขอบคุณค่ะที่มองท้องฟ้า     555 ชื่อท้องฟ้าค่ะ

ขอบคุณทุก ๆ ท่าน

 

ที่เข้ามาแวะชม และอ่านนะครับ

นิทานเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงโฆษณาธนาคารหนึ่ง ที่เพิ่งเห็นแวบๆ ไม่ได้ คุณพ่อชาวจีน มีลูกชายสี่คน เอาเมล็ดพันธ์ดอกไม้ ให้รดน้ำพรวนดินจนมันงอกงาม เวลาผ่านไป กระถางของลูกชายสามคนแรกมีดอกไม้เบ่งบาน แต่ของลูกชายคนเล็กไม่งอก แม้ได้พยายาม พรวนดิน รดน้ำ ทุกวัน

เมื่อวันครบกำหนด ลูกชายคนเล็กก้มหน้า รับผิด แต่คุณพ่อบอกว่า "ลูกเอ๋ย เมล็ดพันธ์ที่พ่อให้เจ้าทั้งสี่น่ะ มันเป็นเมล็ดพันธ์ที่ตายแล้ว" ... ปรากฎว่า ลูกชายคนเล็ก กลายเป็นเศรษฐีมั่งคั่ง เพราะคุณสมบัติ ความซื่อสัตย์ จริงใจ

อ้าวเล่าอีกเรื่องเฉยเลย อยากบอกว่า ชอบบันทึกนี้ค่ะ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท