ต่อเนื่องจาก บันทึกที่แล้วครับ ในบันทึกที่แล้วผมเล่าเรื่องการจัดงานโครงการสานสัมพันธ์คนดีศรีเมืองนคร และบนเวทีวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 วันนั้น 4 ท่าน ได้เล่าถึงการทำดีของท่านให้ได้รับฟัง น้ายงค์(ประยงค์ รณรงค์) ที่ผมนับถือเป็นอาจารย์ของผมท่านหนึ่งที่ได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง...
ท่านบอกว่า ในชีวิตท่านอนเด็ก ๆ นั้นมีความแตกต่างจากเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน คือเพื่อนเรียนหนังสือ แต่น้ารงค์ไม่ได้เรียน ด้วยภาวะทางบ้านไม่เอื้ออำนวยให้เรียนได้ เจอเพื่อนที่เรียนหนังสือ ท่านเล่าว่า ถามเพื่อนว่าการเรียนหนังสือมันดีอย่างไร ?
เพื่อนพูดต่อไปว่าดีมาก ๆ การเรียนหนังสือ เพราะในอนาคตเราจะได้ทำงานราชการ เมื่อแก่ตัวเกษียณอายุจะได้มีเงินบำนาญไว้กินตลอดชีวิต ไม่ต้องทำงานก็มีกิน
ท่านมาทบทวนในสิ่งที่เพื่อนพูดกับความจริงที่ปรากฎกับตัวท่านตอนนั้น มันไม่สามารถทำให้เหมือนเพื่อนได้แน่ ๆ แต่ท่านบอกว่าในความที่ท่านเป็นคนที่ชอบวางแผน มีเป้าหมาย มีความคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ก็หาทางออกให้กับตัวเองว่า เพื่อนมีบำนาญด้วยการทำงานราชการ แต่เราไม่เป็นราชการจะสร้างบำนาญได้อย่างไร คิดแล้วก็คิดได้ว่าสร้างอาชีพให้มั่นคง ก็มีบำนาญได้เหมือนกัน
วางแผนให้กับชีวิต....น้ารงค์ เริ่มวางแผนให้กับชีวิตว่า ต้องบวชเรียนและเรียนให้ได้นักธรรม(ระดับใดนั้นผมจำไม่ได้) ภายใน 3 ปี เมื่ออายุ 25 ปี ต้องแต่งงานมีครอบครัวเพื่อเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างฐานะ และในที่สุด เป้าหมายที่ทำไว้ ทำได้ก่อนที่กำหนดไว้คือ บวชเรียนแค่ 2 ปี ก็ได้นักธรรมตามที่ตั้งความหวังไว้ และได้แต่งงานก่อนเป้าหมาย 1 ปี คือเมื่ออายุได้ 24 ปี ก็แต่งงานสร้างฐานะทางครอบครัว เพื่อสร้างบำนาญตามที่วางแผนไว้ และก็ประสบความสำเร็จ
ถึงปัจจุบันนี้น้ารงค์ บอกกับลูกว่า "พ่อปลดเกษียณแล้วนะ" การปลดเกษียณที่ว่านั้นก็คือ ปลดเกษียณการช่วยเหลือลูก ๆ เพราะโตแล้ว ให้ช่วยเหลือตัวเองกันไป ท่าน..ผู้เป็นพ่อขอปลดเกษียณนะจุดนั้นแล้ว
นี่คือที่ผมพอจดและจำมาได้จากเรื่องเล่าของปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งในวันนั้น ที่กำหนดเข็มชีวิตได้อย่างน่าทึ่งครับ
นับว่าท่านเป็นผู้ที่วางแผนชีวิตได้ดีนะคะ
คนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้วางแผนอะไร ทำไปเรื่อยๆ
เลยไม่รู้ว่าชีวิตประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้หรือเปล่า
ถอดบทเรียนชีวิต เป็นงานที่มีคุณค่ามากเพื่อให้กับเจ้าของผลงานนั้น
ขอบคุณสำหรับการเล่าเรื่องค่ะ
ขอบคุณคุณมาตายีครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่ครับ
สวัสดีครับ คุณมณีวรรณ ตั้งขจรศักดิ์
ใช่ครับบางครั้งเหมือนกัน นึกได้นึกทำไม่ค่อยได้วางแผน
แต่งานที่ทำเราว่ามันมากนะ แต่ทำแบบไม่มีแผนหรือเป้า ก็เลยตอบไม่ได้ว่าทำอะไร เพื่ออะไร
ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม
สวัสดีครับ น้องจือ : ศิริวรรณ หวังดี
เป็นไงบ้างครับตอนนี้ หวังว่าคงสบายดี
ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยม
กลุ่ม " ผู้รับใช้สาธารณะ "
Many “ public Servants ”
โครงการ “ รวมพลัง รวมใจ ให้เป็นหนึ่ง ”
(Systems “Power of Teamwork The one )
จังหวัดนครศรีธรรมราช
" ทำไม ? นครน่าจะเจริญกว่านี้ " หรือ " นครเมืองโดนสาป "
คำถามนี้ น่าจะเป็นคำถาม ที่คนนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่คิดกัน เป็นคำถามที่หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ตลอดมาซึ่งเป็นคำถามที่มีมานานกว่า 40 – 50 ปี คนนครศรีธรรมราช “คนนคร” หรือ “คนคอน” เราหลายท่านเคยพยายามคิดถึงที่มาของคำถามนี้ ซึ่งก็กล่าวกันอย่างกว้างขวางไว้หลายประเด็น หลายๆ คนอาจจะยังคิดไม่ออกหรือถึงกับเลิกคิดไปแล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดออกถึงสาเหตุและวิเคราะห์หาทางแก้ไขหาวิธีการแต่ก็ยังหาวิธีการที่พร้อมจะแก้ไขยังไม่ได้เสมอมาซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้านรวมกันในทีเดียวถึงพอที่จะสามารถแก้ไขได้แต่ก็หาได้ยากเหลือเกินจนทำให้คำถามนี้อยู่คู่นครศรีธรรมราชหรือที่เรียกชื่อกันสั้นๆ ว่า “นคร” ตลอดมา จนคำถามนี้ได้วิวัฒนาการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวมันเองจากที่ตัวมันเป็นคำถาม “ทำไม? นครน่าจะเจริญกว่านี้” จึงกลายเป็นคำเพ้อ “นครเมืองโดนสาป” ใน ณ วันนี้และไม่ทราบว่าต่อไปในอนาคตมันจะพัฒนาแปรสภาพไปแบบไหนอีก ซึ่งพวกเราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นการพัฒนาที่คนนครจะยินดีแน่
1. คุณคิดว่า “ทำไม? นครน่าเจริญกว่านี้” เป็นคำถามที่มีอยู่ในใจคนนครใช่หรือไม่
2. ถ้าสามารถแก้ไขปัญหา “ทำไม? นครน่าเจริญกว่านี้” ต้องการจะแก้ไขหรือไม่
3. ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หนักและยาก เพราะไม่ว่าระดับ ส.ส. หรือ รัฐมนตรี ก็แก้ไม่ได้ใช่หรือไม่
4. ถ้ามีใครมาช่วยแก้ไขปัญหานี้ “ทำไม? นครน่าเจริญกว่านี้” ให้กับคนนครคุณจะช่วยเขาหรือไม่
5. ผมมาช่วยแก้ไข “ทำไม? นครน่าเจริญกว่านี้” ให้กับคนนครทุกคน แต่ผมเป็นสจ.เล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่มีอำนาจ บารมี หรือศักยภาพผมไม่พอที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้กับคนนคร ท่านจะช่วยหรือไม่
โปรดกรุณาพิจารณา
นาย ปิยศักดิ์ เพชรสุวรรณพร
ประธานกลู่ม