นักวางแผนชีวิตครอบครัว


นักวางแผนชีวิตครอบครัว

"นักวางแผนชีวิตครอบครัว"

บันทึกนี้ ผู้เขียนและลูก ๆ ขอมอบให้เธอ "คู่ชีวิต" ที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเรา "เธอ" ในที่นี้ คือ "นายจเร แสงเงิน" ซึ่งรับราชการมานานประมาณ 40 ปี 5 เดือน โดยจะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 เหลือเวลาเพียง 2 เดือน กว่า ๆ เท่านั้นเอง... สิ่งหนึ่งที่ฉันและลูก ๆ ขอมอบให้กับเธอ คือ บันทึกนี้และรูปภาพที่เป็นการวางแผนชีวิตของครอบครัวเรา ตั้งแต่ เธอ + ฉัน ได้ตกลงใจจะอยู่ร่วมเป็นคู่ชีวิต "ฝากผีฝากไข้กัน" ยามแก่เฒ่า... รวมเวลาที่ฉัน ได้รู้จักเธอ เมื่อ ปี 2525 มาจนปัจจุบัน นับรวมเวลาได้ประมาณ 28 ปี...

ตั้งแต่ได้รู้จักกับเธอ เธอเป็นคนจริงจังกับชีวิต เรียกว่า "มาก ๆ" ตอนนั้น ฉันไม่รู้สึกอะไรเพราะฉันยังเป็นเด็ก รู้แต่ว่าเธอเป็นคนดีคนหนึ่ง "บุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่ดื่ม ไม่เที่ยวเสเพล"...เพื่อนบ้านมองดูว่า "เธอเป็นคนที่เครียด"...แต่สำหรับฉันว่า... เธอเป็นคนที่จริงจังในชีวิตมากกว่า...จะทำอะไร...ดูเธอเป็นคนระมัด ระวัง มากกว่า...ยิ่งเป็นเรื่องเงิน...เธอจะเป็นคนตระหนี่...เพราะเธอเคยบอกว่า "พ่อแม่เธอมีลูกมาก...จะทำอะไรต้องระวังเรื่องการจ่ายเงิน" ...เธอสอนให้ฉันและลูกรู้จักความพอเพียง...

เธอจบจากโรงเรียนอินทุภูติพิทยา อำเภอพรหมพิราม

จังหวัดพิษณุโลกซึ่งเป็นโรงเรียนที่สมัยก่อน เด็ก ๆ ที่เรียนโรงเรียนนี้

จะเก่งด้านภาษาอังกฤษกันทุกคน ...เนื่องจากมีครูใหญ่เก่ง

ภาษาอังกฤษ แล้วจะสอนลูกศิษย์ให้เก่งภาษาอังกฤษ...

และด้านล่าง คือ ภาษาอังกฤษที่เธอได้แต่งเองจากพื้นความรู้เดิม

เมื่อ เกือบ 50 ปีที่แล้ว...

เธอระมัดระวังมากในเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว...แต่ฉันยอมรับเธออยู่อย่างหนึ่ง คือ "เรื่องเก็บเงิน เธอเป็นคนเก็บเงินเก่ง แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย ฉันก็ยังเก็บไม่ได้อย่างเธอเลย"...ยกตัวอย่างเช่น รัฐจ่ายเงินค่าช่วยเหลือบุตร เมื่อเจ้าสองตัวเกิดมา จะได้รับเงินค่าช่วยเหลือบุตรจากรัฐให้เดือนละ 50 บาท...เธอจะไม่ยอมนำเงินนั้น...ไปใช้จ่าย...เธอจะเก็บในทุก ๆ เดือน...แถมเดือนไหนเงินเดือนเหลือเธอจะเก็บไปฝากให้กับบัญชีที่เป็นของลูก ๆ... เธอเคยบอกว่า..."เดี๋ยวก็รู้เอง ว่ามันจะมีผลอย่างไรในอนาคต"...ฉันก็ไม่ได้สนใจ...ก็ตามใจ เพราะรู้ว่าเป็นเงินที่รัฐจ่ายให้ทุกเดือน ๆ ละ 50 บาท เท่านั้นเอง...เธอสอนฉันว่า..."เงินเดือน เมื่อเราได้มาให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. เพื่อกิน+เก็บ +เจ็บป่วย 2. เพื่อตาย 3. เพื่อนายจะเอา (ภาษี)"...

เจ้าตัวโต "นายภัครพล แสงเงิน"...

เธอเก็บเงินของลูกทั้งสองคนทุกเดือน รวมทั้งเงินค่าเช่านา + เงินอื่น ๆ ที่เราสามารถจะเก็บฝากในธนาคารให้กับลูก ๆ ได้ โดยไม่เคยถอนมาใช้สักบาทเดียว..."ฉันยอมรับเธอ...ว่าเธอเป็นคนที่เก็บเงินได้ดีมาก ๆ ..." อาจไม่มีใครที่เหมือนเธอเลยก็ว่าได้...เธอสอนลูก ๆ ว่า แม้เจ้าจบปริญญาเอก...เป็นนักวิชาการ... แต่เจ้าอย่าลืมฐานเดิมของชีวิต...จงสร้างฐานให้แน่น...เพราะการที่จะขึ้นสูงได้นั้น...ต้องมีฐานที่มั่นคง...แล้วเจ้าจะยืนได้อย่างสง่างาม...อย่าลืมความเป็นตัวตน...เพราะนักวิชาการมักจะมีจุดอ่อน...เจ้าจงอย่าลืมตน...และจงอย่าทะนงตน...ใช้ความรู้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติให้มากที่สุด...

"ภัคร"...เรียนอยู่ปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร วิชาเอกภาษาไทย

โทภาษาอังกฤษ...ได้เกรดเฉลี่ย 3.71..."เกียรตินิยมอันดับ 1"...

ฉันรู้ผลว่าเงินที่เก็บนั้นมามีความสำคัญตอนที่ฉันโดนการยุบเลิกตำแหน่งจากรัฐ สำหรับเธอโดนยุบกระทรวง ทบวง กรม...เราเจ็บปวดกันมาก...แต่ก็ต้องกัดฟันสู้..."ชีวิต คือ การต่อสู้ + มีความอดทน"...เธอถอนเงินจำนวนที่เก็บไว้สุดชีวิต...มาดาวน์บ้านที่ในเมืองพิษณุโลก เพราะบ้านที่พรหมพิราม เราไม่สามารถเทียวกลับได้ (ช่วงนั้นค่าน้ำมันแพง)...ครอบครัวเราเลยต้องพากันมาอยู่ในตัวเมือง...อีกอย่างลูกก็มาเข้าเรียนที่ในตัวเมืองพิษณุโลก...ที่ทำงานของพวกเราก็อยู่ในตัวเมืองอีก...เพื่อเป็นการอยู่ร่วมกันเลยต้องตัดสินใจซื้อบ้านในตัวเมือง...

เจ้าตัวเล็ก..."นายเพรียงพล แสงเงิน"...

"น้องเพรียง"...เรียนอยู่ ปวช. ปีที่ 2 สาขาไฟฟ้ากำลัง...

ฉันจึงรู้ว่า เงินก้อนนั้นสำคัญกับพวกเราอย่างไร...เธอเป็นนักวางแผนที่ดีสำหรับการเป็นหัวหน้าครอบครัว...เมื่อปี พ.ศ. 2533 หลังจากเจ้าตัวโตเกิดมาได้ประมาณ 2 ขวบกว่า ๆ...เธอตัดสินใจซื้อที่ดินที่หลังบ้านเราที่อำเภอพรหมพิราม...ราคาประมาณ 50,000 บาท...ที่ตอนนั้นยังไม่มีโฉนด หรือ น.ส. 3 ก. ด้วยซ้ำ...มีแต่ใบ ส.ค. 1 ...เธอปรึกษาฉัน...ว่าดีไหม...ฉันก็ว่าดี...พวกเราเลยตัดสินใจซื้อ...เมื่อซื้อแล้วก็มีปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเรารับราชการ ไม่มีเวลามาปลูกพืชไร่...เธออีกนั่นแหล่ะที่บอกว่า..."เราควรปลูกต้นสัก..." และต่อมาก็เธออีกนั่นแหล่ะที่บอกว่ามีคนเขามาขายที่นาให้ 15 ไร่...จะซื้อไหม?...ฉันก็บอกว่า...ตามใจ...เธอก็เลยตัดสินใจซื้อที่นาได้อีก 15 ไร่...ซึ่งรวมกับที่นาที่พ่อ + แม่ ยกให้ฉัน รวมแล้วก็ประมาณ 40 กว่าไร่...

เธออีกนั่นแหล่ะ...ที่ทำให้ฉันได้สอบบรรจุเป็นข้าราชการ...เพราะเธอเป็นคนนำใบสมัครมาให้ฉันไปสมัครสอบ ก.พ....ซึ่งเธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในสมัยนั้น...เธอซื้อใบสมัครให้เสร็จ...เพราะตอนนั้น ฉันเป็นพนักงานการเงินของสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด...มัวแต่นั่งรับ - จ่าย เงินกู้ให้กับสมาชิก...จึงไม่มีเวลาส่งจดหมาย...เธอเป็นคนจัดการให้ฉันเรียบร้อย...เพียงแต่ฉันต้องอ่านหนังสือ เพื่อไปสอบบรรจุ เท่านั้นเอง...ฉันก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง "ฉันสอบได้บรรจุเป็นข้าราชการ สมใจของเธอ"... เธอ + ฉัน แต่งงานกันก่อนที่ฉันจะเข้ามาบรรจุเป็นข้าราชการ...ตอนบรรจุเป็นข้าราชการเมื่อปี 2531 ฉันเพิ่งคลอด "ภัคร"...เจ้าตัวโต... ได้ประมาณ 6 เดือน...

"แม่บุษ"...ของเจ้าสองตัว... (ภัคร + เพรียง)...

ครอบครัวเราจึงปลูกสักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 - ปัจจุบัน ก็ประมาณ เกือบ 20 ปีแล้ว...

เธอเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีคนหนึ่ง ที่ฉันและลูก ๆ ขอมอบให้กับเธอ...เธอกลัวว่าฉันและลูก ๆ จะลำบาก...เธอพยายามไม่เป็นหนี้สิน...ทำตัวเป็นคนปลอดหนี้...เธอสอนฉันให้ทำด้วย...เธอบอกว่า..."เป็นหัวหน้าคน... ถ้ามีปัญหาเรื่องเงิน...จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง..."การจะไปสอนคนอื่นได้...เราต้องทำได้ก่อน...จึงจะถือว่าเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้...ถึงมีหนี้สิน...ก็ต้องรู้จักประมาณตนเองว่ามีกำลังในการชำระหนี้คืน...

โล่ห์ที่ได้รับจากการรับราชการมานานถึง 40 ปี 5 เดือน...

เธออีกนั่นแหล่ะ...ที่เป็นคนสอนให้ฉันเป็นผู้หญิงทำงาน...เธอบอกว่าสมัยนี้...ผู้หญิงไม่ใช่ให้สามีเป็นผู้เลี้ยงดูแล้ว...เธอต้องเป็นผู้หญิงที่สมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ เรียกว่า "ผู้หญิงทำงาน"...เมื่อฉันไม่มีชีวิตแล้ว เธอจะได้หาเลี้ยงตัวเองได้...โดยไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่น...เธอสอนให้ฉันช่วยเหลือตัวเองมากกว่าที่จะพึ่งพาผู้อื่น...เธอสอนให้ฉันเป็นคนที่แข็งแกร่งกับชีวิต + เป็นผู้หญิงทำงาน...

เธอสอนให้ฉัน + ลูก ๆ รู้จักมองการณ์ไกล...มีวิสัยทัศน์ ในการวางแผนชีวิตของตัวเอง...ว่าควรจะดำเนินชีวิตในอนาคตอย่างไร...เธอจะสอนพวกเราให้ระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายเงิน...ให้รู้จักประหยัด อดออม...เพื่อวันข้างหน้า...

เธอสอนฉันว่า ถึงแม้มีอาชีพรับราชการ ก็ใช่ว่าจะยั่งยืน...หากวันหนึ่งรัฐไม่มีเงินเดือนจ่าย...เราจะอยู่ได้อย่างไร...เราควรหาอาชีพอื่นเสริม...ทำอะไรได้ควรทำ...ไม่หวังเงินเดือนเพียงอย่างเดียว...

ฉันยังคิดว่า "ฉันได้รับความคิด + การถ่ายทอดเรื่องการวางแผนชีวิต จากเธอมา"...ซึ่งฉันก็สามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องการทำงานในหน้าที่ด้วย...ฉันและลูก ๆ ขอขอบคุณเธอมาก...ถึงแม้เธอจะมาถึงบั้นปลายของชีวิตหลังเกษียณอายุราชการแล้ว...ฉันและลูก ๆ จะเป็นฝ่ายที่จะดูแลเธอเอง...ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับราชการแล้ว...ครอบครัวเราก็ยังมีสมบัติที่เราได้สร้างกันไว้เมื่อตอนที่เธอยังเป็นหนุ่ม ๆ ตอนที่ร่างกายแข็งแรง...ฉันและลูก ๆ จึงขอมอบบันทึกนี้เป็นของขวัญให้กับเธอ เพื่อจะได้อยู่กับพวกเรานาน ๆ...

ฉันและลูก ๆ ขอขอบคุณเธอ...ที่เป็นกำลังหลักสำคัญที่ทำให้ครอบครัวเรามาถึง ณ จุด ๆ นี้ได้...ขอขอบคุณเธอจริง ๆ...

ป้ายที่ครอบครัวเราต้องทำขึ้นเพื่อแสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนที่ดิน

เป็นสวนป่าแล้ว...โดยทำขึ้นไว้ที่หน้าบ้านที่อำเภอพรหมพิราม

ซึ่งป่าสักจะอยู่ด้านหลังของบ้าน...

(ป้ายต้องจัดทำตามหนังสือรับรองฯ ที่ป่าไม้อำเภอรับรองออกให้)...

สมบัติอันล้ำค่าที่ครอบครัวเราช่วยกันสร้างมา...

"ไม้สักทอง + ต้นยางนา + ต้นตาล + ที่นา"...

ครอบครัวเรายังเคยบริจาคไม้สักทองให้กับ

สำนักงานสหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้เป็นศาลาที่นั่งพัก

ของผู้มาติดต่อ...เป็นการตอบแทนคุณของแผ่นดิน

การปลูกต้นสัก...ต้องขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่ากับกรมป่าไม้...

จึงจะถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย...

ฆ้อนตราประจำสวนป่าสักทอง ซึ่งกรมป่าไม้เป็นผู้รับรอง

(เฉพาะสวนป่าสักของผู้เขียนแห่งเดียว)...

มีอายุสัมปทาน 30 ปี...เมื่อหมดอายุ 30 ปี

ให้ต่ออายุกับกรมป่าไม้ใหม่ค่ะ...

ฆ้อนตราใช้สำหรับตอกหน้าไม้เพื่อการขนย้ายให้ถูกต้อง

ตามกฎหมาย...

หนังสือรับรองขึ้นทะเบียนตรา...

หนังสือรับรองตรา...

หนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า...

นี่คือเอกสารประกอบการปลูกสวนป่า...(ต้นสักทอง + ต้นยางนา)

ที่ถูกต้องตามกฎหมาย....

ฉันและลูก ๆ ขอยกให้เธอเป็น...

..."นักวางแผนที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตครอบครัว..."

ซึ่งได้วางแผนชีวิตมาประมาณ 20 ปี...

และนี่ก็คือ...บั้นปลายของชีวิตหลังจากเกษียณอายุราชการ...

ของเธอ...ฉันและลูก ๆ หวังว่า เธอคงมีความสุข...

อีก 12 ปี...ฉันก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ...

เมื่อฉันหมดหน้าที่ของฉันแล้ว...

หมายเลขบันทึก: 376467เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2010 13:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน 2016 15:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

แว่ะกลับมาชื่นชมบล๊อกที่เขียนเล่ามาจากประสบการณ์ชีวิตโดยแท้ครับ..

ขอบคุณที่ ขำๆ..นะครับ

สวัสดีค่ะ...

P ขอบคุณที่แวะมาค่ะ...

มาชื่นชมกับการวางแผนชีวิตที่สมบูรณ์ครับอาจารย์

สวัสดีค่ะ...ท่าน ผอ.พรชัย...

P  สุดท้าย...เราก็กลับไปยังจุดเริ่มต้นที่เรามาค่ะ...ขอบคุณค่ะ...

สวัสดีค่ะ  แวะมาเซิร์ฟ กาแฟร้อนๆค่ะ  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พี่

หนูก็ชื่อบุษยมาศ เหมือนกันค่ะ  ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันน่ะค่ะ

แวะมาอ่านบันทึกที่อบอุ่นและแข็งแรงค่ะ..

เมื่อครอบครัวมีนักวางแผนชีวิตที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปพึ่งนักวางแผนที่ไหนอีก..

มีความสุขกับการทำงานนะคะ  

สวัสดีค่ะ...

P ยินดีที่รู้จักค่ะ... ครูบุษยมาศ...คิดว่าจะไม่มีใครชื่อเหมือนเราซะแล้ว...แต่ก็ยินดีที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันค่ะ...ในโลกนี้ยังมีความรู้อีกมากมายค่ะ...ที่มนุษย์เรายังไม่รู้ค่ะ...คนเราถ้าไม่ทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วยซะอย่าง...เติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็มค่ะ...ขอบคุณครูบุษยมาศอีกครั้งค่ะ...

สวัสดีค่ะ...

P  ขอบคุณค่ะ...

เป็นโชคดีของคุณบุษยมาศนะคะที่มีคู่ชีวิตที่ดี มีลูกที่ดี อาจเป็นเพราะว่าคุณเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ กุศลจึงให้ประสบแต่สิ่งดีๆในชีวิต

...ยินดีด้วยนะคะ

สวัสดีค่ะ...คุณศรีทอง...

  • ค่ะ ตอนแม่มีชีวิตอยู่  แม่ก็พูดแบบนี้ให้ผู้เขียนฟังค่ะ
  • ความจริงจะเรียกว่า  เดิมที ครอบครัวของผู้เขียนติดลบนะค่ะ
  • คือ พ่อ - แม่ ต้องยืมเงินนอกระบบมา ทำให้เป็นหนี้เขา
  • แต่ผู้เขียน + พ่อบ้าน ก็ช่วยกันไถ่ที่ดินคืนมาจนปัจจุบันปลอดหนี้สินกัน
  • เรียกว่า  "เคยลำบากมาค่ะ  แต่ก็รอดมาได้"...
  • และตั้งปฏิญาณไว้ว่า ต่อไปถ้าไม่มีตังค์จะไม่ขอกู้เงินนอกระบบเด็ดขาด
  • ปัจจุบันผู้เขียนและพ่อบ้านก็ไม่ทำแบบนั้น  ค่อย ๆ สร้างฐานะขึ้นมาเรื่อย ๆ ค่ะ
  • ทำสิ่งใดก็เท่ากับกำลังของเราค่ะ
  • มีหนี้สินก็รู้ว่าพอเกษียณแล้ว  เราก็เป็นไทย เพราะตั้งเป้าหมายไว้อีกแค่ 10 ปี ลูกเรียนจบ ป.เอก ก็อีกประมาณ 5 ปี ค่ะ...
  • ผู้เขียนดูแลพ่อ - แม่ มาตลอดเรียกว่าตั้งแต่ยังไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการเลยค่ะ
  • เคยถามแม่ตอนที่มีชีวิตอยู่ว่า...ความจริงแล้ว ตัวลูกก็มีภาระ ค่าใช้จ่าย เยอะมาก
  • แต่ทำไมถึง ยามที่เราไม่มีเงินเลย  แต่ทำไมถึงเงินไม่ขาดมือ  เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผู้เขียนมีเงินเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ  ทำให้ไม่เดือดร้อน ยามจะไม่มี  แต่พอถึงเวลาจริง ๆ จะมีทางหาเงินได้...ก็แปลกดีนะค่ะ...(สมัยก่อน ผู้เขียนเงินเดือนน้อย ก็จะค้าขายประกอบควบคู่กับอาชีพรับราชการด้วยค่ะ...เพราะลำพังเงินเดือนอย่างเดียว ไม่พอกินหรอกค่ะ...อาศัยมีหัวเรื่องการบริหารจัดการกระมังค่ะ...)...ทำให้เงินไม่ขาดมือ...
  • แม่เคยบอกว่า...เป็นเพราะผู้เขียนดูแลพ่อ - แม่ ทุกอย่างไงค่ะ...แม้แต่การกินอยู่ + การเจ็บป่วย ของพ่อ - แม่... ถึงทำให้เงินทองไม่ขาดมือ
  • ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มค่ะ...เพราะคิดว่า  เราเป็นพี่คนโตและเป็นลูก...นี่คือ...หน้าที่ของลูกที่พึงกระทำต่อพ่อ - แม่ไงค่ะ...
  • อีกอย่างพ่อบ้านก็ไม่เกเร ไม่กระทำในสิ่งที่เจ้าชู้ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน  แต่เป็นคนที่จริงจังต่อชีวิตค่ะ...กลัวตังค์จะไม่พอใช้อย่างเดียวเพราะยิ่งลูกโตเรียนสูงขึ้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น...พ่อบ้านบอกว่า ไม่สามารถไปกระทำอย่างที่กล่าวมาข้างต้นได้เพราะเป็นห่วงลูก  เกรงว่าไม่มีกะตังค์ส่งให้ลูกเรียนจบ ป.เอกได้ค่ะ...
  • ถือว่าเป็นบุญเก่าของผู้เขียนด้วยกระมังค่ะ...
  • และพ่อบ้านก็มีส่วนสนับสนุนให้ผู้เขียนได้มาเขียนประสบการณ์ ความรู้ในบล็อก gotoknow นี้ด้วยนะค่ะ...บอกว่า ถ้าเรารู้ เราควรบอก แนะนำ ให้คำปรึกษาแก่น้อง ๆ หรือคนที่เขาไม่รู้  หากเรารู้แล้วไม่ควรเก็บไว้กับตัวเพียงผู้เดียว ควรเผยแพร่ให้กับคนรุ่นหลัง ๆ ได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อคิด หรือแนวทางในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติงานค่ะ จะมีประโยชน์กว่าเราเก็บไว้คนเดียว...ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาคนในสังคมให้มีความเข้มแข็งในการคุณภาพชีวิตไปด้วยค่ะ...
  • นี่คือ...ชีวิตของครอบครัวเราค่ะ...
  • ขอบคุณนะค่ะ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท