สรุปบทความภาวะผู้นำ โดย นายธีรนนท์ หนูเขียว ศษ.ม. บริหารการศึกษา มหาวิทยากรุงเทพธนบุรี ศูนย์หาดใหญ่ |
ภาวะผู้นำทางการศึกษาในสังคมโลกาภิวัตน์
ผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์ ต้องใช้ภาวะผู้นำให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับทุกสภาพการณ์ได้ และใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารงานอย่างมีประสิทธิผล
คุณลักษณะผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์
คุณลักษณะที่สำคัญ 5 ประการต่อการนำไปสู่การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งประกอบด้วย
คุณสมบัติที่พึงประสงค์ของผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์
สมชาย เทพแสง (2543 : 16-17 อ้างถึงใน ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร, 2549) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้บริหารมืออาชีพควรมีลักษณะ 20P ดังนี้
สุรศักดิ์ ปาแฮ (2543 : 27-31 อ้างถึงใน ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร, 2549 : 11) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของผู้บริหารการศึกษามืออาชีพ ดังนี้
จากผลการวิจัย สามารถสรุปและจำแนกถึงคุณลักษณะของผู้บริหารที่จะส่งผลต่อการบริหาร จัดการศึกษาอย่างมืออาชีพ สามารถจำแนกได้เป็น 10 ประการ คือ
จากบทความของ วุทธิศักดิ์ โภชนุกูล
ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เอกสารอ้างอิง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้ของบุคลากรทางการศึกษา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงขลาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
ผู้วิจัย : นางสาวรุจิรา แกล้วทะนงค์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาโดยใช้รูปแบบของการวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณ มีวัตถุประสงค์การวิจัย 4 ประการคือ
1) เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมบุคลากรทางการศึกษาในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
3) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับการนำการจัดการความรู้ไปใช้พัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
4) เพื่อนำผลที่ได้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
กลุ่มประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา คือ ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ จำนวน 5 คน ครูผู้สอน จำนวน 119 คน และบุคลากรฝ่ายสนับสนุน จำนวน 52 คน รวมกลุ่มประชากรทั้งหมด จำนวน 176 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้สถิติทดสอบสมมติฐาน คือ ค่า t-test และ F-test (One way ANOVA) โดยจำแนกการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 4 ขั้นตอนคือ
1) วิเคราะห์ศักยภาพและหา SWOT ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาสงขลา ด้วยการวิเคราะห์เอกสารและรวบรวมหลักการ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้และองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ที่สถานศึกษานำไปปฏิบัติ
2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ จำนวน 5 ด้าน บรรยากาศด้านองค์กร จำนวน 3 ด้าน และคุณลักษณะของครู จำนวน 2 ด้าน
3) ศึกษาสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับการนำการจัดการความรู้ไปใช้พัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
4) นำผลการศึกษาใน 2 ขั้นตอนแรกมาสังเคราะห์เพื่อการพัฒนาการจัดการความรู้ไปสู่การกำหนดกลยุทธ์และการกำหนดแผนงาน/โครงการ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรได้รับรู้และมีส่วนร่วมในกลไกการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก
2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านบรรยากาศสัมฤทธิผลมีความคิดเห็นในระดับมากที่สุด
3. บุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งในการปฏิบัติงานต่างกัน ซึ่งเป็นผู้บริหารกับครูผู้สอน และ ครูผู้สอนกับบุคลากรฝ่ายสนับสนุน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในด้านการสร้างและสานวิสัยทัศน์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. บุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งในการปฏิบัติงานต่างกัน ซึ่งเป็นครูผู้สอนกับบุคลากรฝ่ายสนับสนุน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในด้านความคิดและความเข้าใจเชิงระบบแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5. บุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งในการปฏิบัติงานต่างกัน ซึ่งเป็นครูผู้สอนกับบุคลากรฝ่ายสนับสนุน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในด้านคุณลักษณะส่วนตัวครูแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
6. บุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งในการปฏิบัติงานต่างกัน ซึ่งเป็นครูผู้สอนกับบุคลากรฝ่ายสนับสนุน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในด้านคุณลักษณะวิชาชีพครูแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
7. การนำการจัดการความรู้ไปใช้พัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ในสภาพปัจจุบัน โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำการจัดการความรู้สู่การปฏิบัติงานในสภาพปัจจุบันมากที่สุด
ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในด้านความคิดและความเข้าใจเชิงระบบ ครูผู้สอนและบุคลากรฝ่ายสนับสนุนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แสดงว่า สถานศึกษาควรพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาทั้งระบบอย่างเป็นองค์รวม โดยพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในด้านความคิดความเข้าใจเชิงระบบอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
2. บุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านบรรยากาศขององค์กรด้านสัมฤทธิผล เป็นด้านที่บุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยทั้งหมด ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ก่อให้เกิดการพัฒนาและบริหารการจัดการในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในสถานศึกษา ควรมีความรู้ความเข้าในในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์และตามแนวปฏิบัติของ Senge 5 ด้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สถานศึกษามีบรรยากาศก้าวไปข้างหน้า และ จูงใจให้เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
3. สถานศึกษาและระบบการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าของระบบอื่นๆ ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง สังคม ระบบการศึกษาจึงต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบันและอนาคต องค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นรูปแบบหนึ่งที่มีคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสถานศึกษาที่ใช้ในการปรับตัว สร้างความร่วมมือและการอยู่ร่วมกันได้ดี คือ การสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา
การวิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำ
ของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
โดย ปรเมษฐ์ โมลี
การปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่ดีขึ้นทุกด้าน ให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่เก่ง ดี และมีความสุข มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2542 แต่ผลของการดำเนินการที่ผ่านมา มีผลการวิจัยเชิงประจักษ์และเสียงวิพากษ์จากสังคมทั่วไปว่ายังไม่สามารถ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตามความคาดหวัง โดยเฉพาะด้านคุณภาพของผู้เรียน แต่อย่างไรก็ดีการปฏิรูปการศึกษามีผลทำให้การบริหารโรงเรียนเปลี่ยนรูปแบบ ไปเป็นการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) ซึ่งการบริหารในลักษณะนี้ มีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ หลักการกระจายอำนาจ หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม หลักการบริหารตนเอง และหลักการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
ผู้บริหารโรงเรียนนับเป็นกลไกสำคัญและมีอิทธิพลสูงต่อคุณภาพของผลลัพธ์ที่ได้จากระบบการศึกษาและนับว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญ คุณภาพและประสิทธิภาพทางการศึกษา มักแปรปรวนไปตามผู้นำเสมอ (รุ่ง แก้วแดง, 2546) หน้าที่ของผู้นำต้องจัดการภายในองค์การอำนวยการให้ทรัพยากรที่เป็นตัวคนและวัตถุประสานเข้าด้วยกัน ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำองค์การให้ดำเนินไปได้ การศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัยในฐานะนักวิชาการด้านการบริหารการศึกษาสนใจศึกษาวิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อทราบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และเป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนในประเทศไทยต่อไป
วิธีดำเนินการวิจัย
1. ศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 2 แหล่ง คือ
1.1 จากตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมาพัฒนาเป็นโมเดลความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะความเป็นผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
1.2จากการสอบถามผู้บริหารโรงเรียน รองผู้บริหารโรงเรียน ผู้อำนวยเขตพื้นที่การศึกษาที่มีโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จตั้งอยู่ และประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ จำนวน 4 คน ใช้แบบสอบถามสำรวจข้อมูลเบื้องต้น จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ข้อคำถามประกอบด้วยข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามและความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
2. สร้างรูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย ตัวแปรทั้งหมดรวม 24 ตัว เป็นตัวแปรแฝงภายนอก จำนวน 2 ตัว ตัวแปรแฝงภายใน จำนวน 3 ตัว และตัวแปรสังเกตได้ จำนวน 19 ตัว
3. สัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ ที่ได้จากการพิจารณาการวิเคราะห์ตรวจสอบรูปแบบเบื้องต้นโดยผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่กับผลสรุปของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสรุปผลแก้ไขแบบสอบถามตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
4. ร่างแบบสอบถามให้ครอบคลุมตัวแปรจากการวิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้าง เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จทุกตัวแปร ร่างข้อคำถามแต่ละตัวแปรจากนิยามศัพท์ที่ได้จากการวิเคราะห์เอกสาร
5. นำแบบสอบถามที่ร่างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและหาค่า IOC
6. นำแบบสอบถามไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน และนำมาวิเคราะห์โดยการคำนวณหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม โดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค แล้วนำผลการวิเคราะห์มาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา เพื่อจัดทำเป็นแบบสอบถามฉบับที่พร้อมจะนำไปใช้จริง
7. วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบที่พัฒนาขึ้นตามสมมติฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์
ผลการวิจัย
จากการศึกษาข้อมูลของประชากรซึ่งประกอบด้วยบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียนที่ได้รับรางวัลพระราชทานในปี พ.ศ.2550 และปี พ.ศ. 2551 จำนวน 74 โรงเรียน รวม 413 คน ผลการวิจัยมีดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
มีปัจจัยที่สำคัญ คือ คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน องค์ประกอบด้านสถานการณ์ พฤติกรรมความเป็นผู้นำและบทบาทผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน
2. ผลการพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ จากการวิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของรูปแบบภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จเพื่อทำการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์จากประชากรโดยใช้โปรแกรมลิสเรลเวอร์ชัน 8.72
2.1 ผลการตรวจสอบความตรงของรูปแบบความสัมพันธ์สมมติฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์จากประชากร
2.1.1 ผลการวิเคราะห์ค่าสถิติของรูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
2.1.1.1 ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะความเป็นผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จที่พัฒนาขึ้นมา มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีการพิจารณาค่าดัชนีวัดความสอดคล้องของรูปแบบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า ค่าไค-สแควร์ (X2) มีค่าเท่ากับ 124.90 ที่องศาอิสระ 64 ค่าไค-สแควร์ที่หารด้วย องศาอิสระ (X2/df) มีค่าเท่ากับ 1.95 ซึ่งมีค่าต่ำกว่า 2.00 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) มีค่าเท่ากับ 0.97 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) มีค่าเท่ากับ 0.91 ซึ่งมีค่า เข้าใกล้ 1 ส่วนค่าดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของเศษ (RMR) มีค่าเท่ากับ 0.60 ซึ่งมีค่าต่ำเข้าใกล้ 0 จากผลของค่าดัชนีวัดความสอดคล้องของรูปแบบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จระหว่างรูปแบบเชิงสมมติฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์มีความสอดคล้องกัน
2.1.1.2 ผลการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝง พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบด้านสถานการณ์ คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน องค์ประกอบด้านสถานการณ์ พฤติกรรมความเป็นผู้นำ บทบาทผู้นำ และภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอยู่ในช่วง -0.31 ถึง 0.89 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนกับองค์ประกอบด้านสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียน มีค่าสูงสุด r = 0.8 ส่วนค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนกับพฤติกรรมความเป็นผู้นำ มีค่าต่ำสุด r = 0.03
สรุปได้ว่าผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ มีคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนสัมพันธ์กับองค์ประกอบด้านสถานการณ์ สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานเป็นอย่างดี จะสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของภาวะความเป็นผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
2.2 ผลการวิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุระหว่างตัวแปรแฝง จากผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้
2.2.1 ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน องค์ประกอบด้านสถานการณ์ บทบาทผู้นำ และ พฤติกรรมความเป็นผู้นำ ขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.72, -0.47, 0.43, และ -0.39 ตามลำดับ
2.2.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อบทบาทผู้นำ ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ องค์ประกอบด้านสถานการณ์ คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียนและพฤติกรรมความเป็นผู้นำ (ขนาดอิทธิพล เท่ากับ 0.44, 0.25, และ 0.08 ตามลำดับ
2.2.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมี 2 ปัจจัย คือองค์ประกอบด้านสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียนและคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน(ขนาดอิทธิพลเท่ากับ -0.40 และ 0.39 ตามลำดับ)
2.2.4 ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ มี 3 ปัจจัย คือ คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน องค์ประกอบด้านสถานการณ์ พฤติกรรมความเป็นผู้นำ (ขนาดอิทธิพล เท่ากับ -0.03, 0.34, และ 0.03 ตามลำดับ)
3. สรุปผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเส้นทางอิทธิพลทางตรงและทางอ้อม ระหว่างตัวแปรแฝงในรูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
3.1 คุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน มีอิทธิพลทางตรงในทิศทางบวกต่อพฤติกรรมความเป็นผู้นำและภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลทางอ้อมในทิศทางลบต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
3.2 องค์ประกอบด้านสถานการณ์ มีอิทธิพลทางตรงในทิศทางลบต่อพฤติกรรมความเป็นผู้นำและภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลทางตรงในทิศทางบวกต่อบทบาทผู้นำในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลทางอ้อมในทิศทางบวกต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
3.3 พฤติกรรมความเป็นผู้นำ มีอิทธิพลทางตรงในทิศทางลบต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ และมีอิทธิพลทางตรงในทิศทางบวกต่อบทบาทผู้นำ ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลทางอ้อมในทิศทางบวกต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
3.4 บทบาทผู้นำ มีอิทธิพลทางตรงในทิศทางบวกต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ