บทความสภาวะผู้นำที่โลกลืมไม่ได้
ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ของไทยที่หลายคนยังไม่เคยลืมและไม่ควรลืม กรณีการยึดอำนาจการปกครองของคณะ รสช. โดยการนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์และนายทหารใหญ่อีกหลายท่านและนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดหรือพฤษภาทมิษในปี 2535
มีคนๆหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่สามารถลืมเลือนได้เช่นกัน คนที่ชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน ที่เป็นรัฐมนตรีทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ที่คนไทยอยากจะเรียกว่า อัศวินม้าขาวตังจริง "อานันท์ ปันยารชุน" นั้นจัดได้ว่าเป็นเชื้อสายผู้ดีเก่าโดยเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 12 คนของ มหาอำมาตย์มนตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน)และคุณหญิงปรีชานุสาสน์(ปฤกษ์ โชติกเสถียร) พระยาปรีชานสาสน์ผู้เป็นบิดานั้นอยู่ในแวดวงการศึกษามาโดยตลอดเคยดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงธรรมการ อันเป็นตำแหน่งสูงสุดตำแหน่งหนึ่งของราชการประจำ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ท่านกราบถวายบังคมลามาประกอบธุรกิจ เหตุการณ์คล้ายๆกันก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับบุตรชายคือ อานันท์ ได้ลาออกจากราชการทั้งๆที่ในขณะนั้นก็ดำรงตำแหน่งทางราชการในระดับสูงเหมือนกันที่เป็นถึงเอกอัศราชฑูตพิเศษประจำกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัคราชฑูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน แต่เพราะในคลื่นการเมืองในสมัยปี 2522 นั้นที่ว่ากันว่าหลายคนถูกชัดจนระเนระนาดไปคนละทิศละทางหนึ่งในนั้นก็คือ อานันท์ รวมอย่ด้วย
อานันท์ ต้องสลัดเครื่องแบบเดินเข้าสู่เครือสหยูเนี่ยนโดยการชักชวนของ ดร.อำนวย วีรวรรณ ที่เข้ามาก่อนแล้วและอยู่ในวงการธุรกิจโดยเข้ารับตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริษัทฯในปี 2534 และต้องลาออกมารับใช้ชาติเมื่อชาติต้องการอีกครั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีของเมืองไทย ถึงสองสมัย คือในสมัยแรกตั้งแต่ 2 มีนาคม 2534 ถึง 21 เมษายน 2535 และสมัยที่สองตั้งแต่ 10 มิถุนายน 2535 ถึง 1 ตุลาคม 2535 และที่สำคัญรับเป็นประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.) ในช่วงรัฐบาลอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ที่มาช่วยแก้ไขเยียวยาปัญหาภาคใต้ที่เป็นปัญหาระดับชาติที่ยากจะแก้ไข ตลอดเวลาทั้งในภาคราชการและภาคธุรกิจนั้น"อานันท์ ปันยารชุน"ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในเรื่องของความสุจริตและโป่งใสและพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ทุกเรื่องทุกเวลา อานันท์ ปันยารชุน ก้าวถึงสุดยอดในชีวิตที่ต้องนับนิ้วได้ในเมืองไทยว่ามีเพียงไม่กี่คนก็เพราะเป็นที่มีแนวคิด และสภาวะผู้นำที่มั่นคงตลอดมา ซึ่งเป็นเจ้าของคำพูด และแนวคิด "หลักการต้องยึดถือไว้ คุณธรรมต้องยึดถือไว้ จริยธรรมต้องยึดถือไว้"เป็นสิ่งสำคัญ
จากบทความ พอสรุปได้ว่า คุณวุฒิคุณธรรมสำคัญนัก วุฒิเป็นหลักธรรมเป็นแหล่งแห่งศักดิ์ศรี คุณวุฒิสุดล้ำธรรมไม่มี ก็เอาดีไม่ลอดตลอดชน นี้คือสภาวะผู้นำที่ลืมไม่ได้
แล้วประเทศไทยจะทำอย่างไรเมื่อมีคนที่ดีอย่างน้อยเหลือเกิน แล้วประเทศจะไปทางใด
เมื่อโจทย์ทางความคิดไม่ลงตัว แต่คำตอบต้องมีให้ได้ จึงตัดสินใจลำบากยิ่งนัก
เห็นด้วยครับกับคุณ ศักดิ์ชัย
ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ อย่างไร หากคนไทยยังคงยึดติดในวัตถุนิยมกันมากมาย การศึกษาก็ไม่ได้สั่งสอนจิตสำนึกของจิตสาธารณะ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาเอาใจใส่ดูแลลูกตัวเอง เพียงแค่คิดว่าให้ "เงิน" ลูกก็จบ ซึ่งมันไม่ใช่ เราจะเปลี่ยนแปลงค่านิยมที่ผิดๆ นี้ได้อย่างไร
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
สภาวะผู้นำทางการศึกษา ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เกีรยติบัตร รางวัลยกย่องเพียงอย่างเดี่ยว แต่ความสำเร็จต้องขึ้นอยู่กับเด็กนักเรียน เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เป็นกำลังในการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างมีคุณภาพต่อไป
มาเยี่ยมชมผลงานครับ ok ครับ