การยิ้ม......ศาสตร์หนึ่งที่ควรรู้และปรับปรุง ต้องพิสูจน์ด้วยคนรอบข้างเป็นเสมือนกระจกเงา


การยิ้ม......ศาสตร์หนึ่งที่ควรรู้และนำมาปรับปรุง เพราะการยิ้มเป็นการแสดงอาการของความสุขอย่างหนึ่ง ต้องพิสูจน์ด้วยคนรอบข้างเป็นเสมือนกระจกเงา

         การยิ้มเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้รับจากใบหน้าของคนอื่นที่ต้องการจะให้เขาแสดงให้เราเห็นตลอดเวลา    แต่ตัวเราไม่เคยแสดงให้ใครเห็นเลยว่าเราได้ยิ้มบ้างในตอนไหน  การยิ้มเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับผู้ที่พบเห็น    เป็นคนอารมณ์ดี   เป็นคนที่ปรับตัวได้ดีในการอยู่ในสังคมในสภาวะที่แวดล้อมที่จะทำให้มีความทุกข์ได้ตลอดเวลา  การยิ้มจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้

        ศ.นพ.ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ ได้แสดงความคิดสนับสนุนในเรื่องของการยิ้มเป็นรายละเอียดที่น่าสนใจว่า  ทางจิตแพทย์ได้จำแนกการยิ้มออกเป็น เป็น 3 แบบ คือ ยิ้มจริงใจ ยิ้มเสแสร้ง ยิ้มเศร้า ซึ่งเราจะพบบ่อยมากในสังคมปัจจุบัน  ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเรากำลังยิ้มอยู่นั้นเขากำลังยิ้มแบบไหน  ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่จะคาดเดาเอาเองได้จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเช่นกัน

 

           1. ยิ้มจริงใจ คือ ยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีงาม ยิ้มจริงใจเป็นการแสดงความรู้สึกทางด้านบวกอย่างแท้จริงจะปรากฎขึ้นหลังจากได้รับรู้สภาวะของอารมณ์ซึ่งรวมทั้งความยินดีจากสิ่งกระตุ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส อย่างรักใคร่ก็สามารถเรียกรอยยิ้ม อย่างจริงใจออกมาได้ รอยยิ้มอย่างจริงใจนี้สามารถเกิดจะขึ้นได้ เมื่อหายจากเจ็บปวดจากแรงกดดันที่อึดอัดได้เหมือนกัน

 

             ยิ้มอย่างจริงใจนี้ นอกจากจะใช้กล้ามเนื้อยิ้มตามปกติคือ กล้ามเนื้อขากรรไกรแล้ว ยังใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอีกด้วย ผลของการยิ้มจริงใจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน "ความสุข" (เอนเดอร์ฟิน) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปออกฤทธิ์ทำให้ม่านตาขยายตัว และตามีประกายของความสุขที่เราเรียกว่า "ตายิ้ม" ซึ่งตานี้เองจะแสดงออกถึงความรัก ความเป็นมิตรและความอบอุ่นออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นได้

           2. ยิ้มเสแสร้ง ก็คือรอยยิ้มที่แสดงให้เกิดเป็นรอยยิ้มขึ้น โดยเจตนาจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทำให้ผู้อื่นคิดว่า เรารู้สึกว่ายิ้มจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่   ซึ่งเป็นการเจตนาที่จะพยายามกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในด้านดี ยิ้มเสแสร้งจะปรากฏบนใบหน้านานกว่ายิ้มจริงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจิตหลายคนเห็นว่า การหัวเราะเป็นตัวการที่จะปลดปล่อยความตึงเครียด หรือความตื่นเต้นที่มีมากจนเกินไป การหัวเราะช่วยปรับความสมดุล ให้อยู่ในสภาวะปกติ แม้ว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ตลกเลยก็ตาม เหตุผลที่เราชอบหัวเราะอีกอย่างหนึ่งก็เพราะ เวลาหัวเราะเราต้องยิ้มก่อนและใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ย่อมน่าดูกว่าใบหน้าบึ้งตึงดุร้าย การหัวเราะจึงเป็นอีกขั้นหนึ่ง ของการยิ้มนั่นเอง คุณสามารถยิ้มไปโดยไม่ต้องหัวเราะ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะโดยไม่ยิ้มคนที่สามารถยิ้มและหัวเราะอย่างจริงใจก็เหมือนกับกำลังพูดว่า "ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรนะ ฉันเป็นมิตรนะ ฉันอยู่ข้างเธอนะ" คนที่สามารถยิ้มและหัวเราะในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจริงๆ นั้นก็คือ คนที่เป็นอัจฉริยะโดยแท้ เพราะเท่ากับเขากำลังพูดว่า "ฉันไม่กลัวหรอก"

 

            3. ยิ้มเศร้า มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเราทำตัวเองเป็นทุกข์ และเรายังทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์อีกด้วย คนที่หัวเราะมากๆ จะมีชีวิตยืนนาน คนที่มีความสุขจะมีอายุยืนกว่าคนที่อมทุกข์ การที่จะให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ จำเป็นจะต้องมีการแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนรอบข้าง   คนที่รู้จักหัวเราะ ก็คือ คนที่รู้จักแบ่งปันความสุขที่แสดงให้เห็นโดยการยิ้มและการหัวเราะ     นั่นเอง

 

           ตัวเราเองจะเป็นผู้จัดการรักษาตนเอง ที่ดีที่สุดในโลก การรักษาเยียวยานั้น ต้องมาจากภายในและเรานั่นเองที่จะมีอำนาจรักษาตัวเองได้ การหัวเราะมักจะเกิดพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไปในทางที่ดีที่ใครๆ ก็เห็นได้ชัด เช่น นัยน์ตาเป็นประกาย บุคลิกสดใส การร้องไห้จึงนับว่าเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ช่วยลบล้างความทุกข์หรือเกิดจากทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ จะมีส่วนผสมทางเคมีแตกต่างจากน้ำตาที่เกิดจากผงเข้าตา น้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ภายในจะมีสารช่วยลดความเจ็บปวดอยู่ด้วย ซึ่งจะผลิตออกมาในปริมาณมากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เราเอาชนะความเจ็บปวดและความโศกเศร้าได้ คนที่พยายามยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอ แม้จะรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ภายใน ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์เป็นไปในทางดีได้ จะมีความสุขขึ้นทั้งสมองและจิตใจอันจะส่งผลในด้านดีที่เกี่ยวกับสุขภาพของแต่ละคนอีกด้วย

 

             ใครก็ตามที่ดำเนินชีวิตอย่างหวาดกลัวตลอดเวลา มักจะป่วยบ่อยๆ ความกลัวสามารถทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายจับแข็งจนเลือด และฮอร์โมนกับสิ่งบำรุงร่างกายไปเลี้ยงไม่ถึง การหัวเราะ จะช่วยให้มันละลายแล้วเริ่มทำงานตามปกติต่อไป คนที่เป็นทุกข์เนื่องจากมีความกลัวอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะผลิตสารอะดรีนาลินออกมามากเกินไป และไหลเวียนไปทั่งร่างกายตลอดเวลาทำให้ล้มเจ็บได้ ความกลัวสามารถลดได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสาเหตุนั้นๆ และการหัวเราะก็เป็นวิธีเผชิญหน้ากับความกลัวที่ดีที่สุด เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าเราเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้มากขึ้น ในไม่ช้าความกลัวก็จะค่อยๆ หมดไป

 

             วิธีดูว่ายิ้มอย่างไหนจึงจะเหมาะสำหรับท่านก็คือ ลองยืนหน้ากระจกเงา แล้วแสดงสีหน้าแบบต่างๆ ทั้งยิ้มและบึ้ง สังเกตว่า สีหน้าแบบไหนที่ทำให้ท่านดูอ่อนวัยลง มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ขึ้น แต่ละคนจะมีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันออกไป รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้านานเกินไป จะดูเหมือนกับหุ่นยนต์ หรือยิ้มเสแสร้ง คุณควรจะมีรอยยิ้มที่จริงใจจะดีกว่า เพราะถ้ายิ้มเสแสร้งของท่านเด่นชัดเกินไป ผู้คนก็จะไม่เชื่อถือเพราะเขาจะวิเคราะห์ได้ว่าท่านกำลังแสดงความไม่จริงใจ   ความเป็นมิตรก็เจือจางลงตามไปด้วย

               การยิ้มจึงมีความหมายมากสำหรับทุกคนที่จะต้องฝึกให้รู้จักยิ้มที่ส่งผลไปสู่ผู้ที่รับยิ้มของเราไปแปลเป็นความหมายออกมา นั่นหมายถึงเขาจะยิ้มตอบเราในลักษณะเดียวกัน  หากแปลยิ้มตรงกันต่างฝ่ายต่างก็จะมีความสุข   และความสุขก็คือสิ่งที่ทุกคนปรารถนามิใช่หรือ

 

…………………………………………………………………………………

              แหล่งอ้างอิงที่มา........http://www.jobpub.com   12 กรกฎาคม 2553

หมายเลขบันทึก: 374480เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2010 23:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 11:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ทุกเช้ามาทำงาน เจอใครผมก็จะแจกยิ้มไปหมดละครับ  บรรยากาศดีมีความสุข ทั้งผมคนยิ้ม และ คนที่ ผมยิ้มให้

  

 คนที่รู้จักหัวเราะ ก็คือ คนที่รู้จักแบ่งปันความสุขที่แสดงให้เห็นโดยการยิ้มและการหัวเราะ     นั่นเอง

ใช่เลยค่ะ

ยิ้มๆกันเถอะนะ  ยิ้มแล้วพาคลายเศร้า

ยิ้มแล้วพาคลายเหงา  ยิ้มพาเราเพลินใจ

ยิ้มแล้วพาสุขล้ำ   ทำเรื่องยากเป็นง่าย

ยิ้มให้กันเมื่อไหร่  เรื่องร้ายจะกลายเป็นดี

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท