ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
พุ่มพวง สังข์พงศ์*
บทนำ
Iรูปแบบของกาบริหารและการดำเนินงานขององค์กรในปัจจุบัน จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซี่งเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปจากเดิม ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจึงต้องมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า การถูกคุกคาม เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์กร บางคนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งยากลำบาก เพราะจะนำมาซึ่งการสูญเสียอำนาจ สูญเสียการควบคุม และเกิดความกลัวที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางคนรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้และสนุกสนาน ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย รวมทั้งต้องพยายามสื่อสารให้บุคลากรทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นการในเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและสามารถนำองค์กรได้ ในการสร้างภาวะผู้นำนั้นจะต้องทำให้ผู้นำมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะโดนบังคับให้เปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเข้าใจสัจธรรมที่ว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบแต่จำเป็นต้องมีการวางแผนดำเนินการอย่างรอบคอบ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว ต้องมีคนร่วมมือด้วย และไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้ามีส่วนร่วมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ต้องการ ผู้นำที่ดีจำเป็นต้องบริหารจัดการงานในแต่ละวันให้ลุล่วงไปด้วยดี ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปรับปรุงพัฒนางานอย่างต่อเนื่องด้วย
ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ (2545) กล่าวว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คนที่ไม่คิดจะเปลี่ยน คนที่ต่อต้านการปรับเปลี่ยน คนที่มุ่งตามกระแสหรือคิดที่จะหยุดอยู่กับที่ล้วนเป็นผู้แพ้ เราต้องรีบเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกบังคับ การที่จะเป็นคนกล้าที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง สร้างความถูกต้องที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะต้องมีคุณลักษณะร่วมกันหลายปัจจัย คือ ต้องมี 7 Cs ได้แก่
การบริหารความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างความตึงเครียด ความสับสน และอาจถึงขั้นลดประสิทธิผลของงานลงได้ การเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความสำเร็จต้องมีการวางแผนที่ดี ดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ ประเมินผลอย่างถ้วนถี่ และทำงานอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารสามารถใช้กระบวนการทั้ง 8 ขั้นตอนต่อไปนี้ในการเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างเป็นระบบ (Daft, 1999)
ขั้นที่ 1 ผู้นำต้องสร้างรู้สึกให้มีการตอบสนองโดยฉับพลัน โดยผู้นำต้องเห็นความสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง
ขั้นที่ 2 สร้างความร่วมมือที่นำไปสู่การรวมกำลัง เพื่อให้เกิดอำนาจอย่างเพียงพอที่จะนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง และเพื่อการพัฒนาความรู้สึกเป็นทีมงาน
ขั้นที่ 3 พัฒนาวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ โดยผู้นำรับผิดชอบในการสร้างกฎเกณฑ์และพัฒนาวิสัยทัศน์ ซึ่งจะนำไปสู่ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนากลยุทธ์
ขั้นที่ 4 สื่อสารวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ให้ผู้ร่วมงานทุกคนรับทราบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการกำหนดกิจกรรมที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยจัดให้มีการสื่อสารในเรื่องนี้อย่างน้อย 10 ครั้ง
ขั้นที่ 5 มอบอำนาจ ให้ผู้ร่วมงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อจะได้มีการดำเนินกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ในวิสัยทัศน์
ขั้นที่ 6 สร้างชัยชนะในระยะสั้น เมื่อดำเนินกิจกรรมไปได้ระยะหนึ่ง ผู้นำควรวางแผนปรับปรุงวิสัยทัศน์ในการปฏิบัติงานโดยให้ผู้ร่วมงานทุกคนมีส่วนร่วม
ขั้นที่ 7 รวมพลังของทุกคนในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยมีการเปลี่ยนโครงสร้างและนโยบายให้เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ แต่ต้องไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงงานบางอย่าง ผู้นำอาจจำเป็นต้องจ้างบุคคลภายนอกให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงด้วย
ขั้นที่ 8 กำหนดรูปแบบใหม่ ๆ ในวัฒนธรรมองค์การ เป็นการติดตามผลเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับลักษณะนิสัย ความเชื่อ และความรู้สุขด้านจิตใจ โดยจะมีการทดแทนด้วยค่านิยมและความเชื่อใหม่ ตลอดจนสร้างความรู้สึกให้ผู้ร่วมงานเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ
บทสรุป
สรุปได้ว่าผู้นำจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะในการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีจรรยาบรรณวิชาชีพ จะต้องมีคุณลักษณะที่เอื้อต่อการบริหารท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง จึงจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีคุณภาพตามเป้าหมายที่กำหนด ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์อย่างชัดเจนว่าจะทำให้องค์กรมีคุณภาพได้อย่างไร ซึ่งเป็นความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และจะต้องนำพา หรือได้รับการยอมรับจากผู้ร่วมงานในองค์กร เพื่อขับเคลื่อนการทำงานไปสู่ความสำเร็จ
บรรณานุกรม
ทิพาวดี เมฆสวรรค์. (2545). กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยน. กรุงเทพฯ : บริษัทเอ็กซเปอร์เน็ท.
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
นางสาวนฤวรรณ ณ สุยสกุล
บทนำ
Iรูปแบบของกาบริหารและการดำเนินงานขององค์กรในปัจจุบัน จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซี่งเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปจากเดิม ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจึงต้องมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า การถูกคุกคาม เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์กร บางคนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งยากลำบาก เพราะจะนำมาซึ่งการสูญเสียอำนาจ สูญเสียการควบคุม และเกิดความกลัวที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางคนรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้และสนุกสนาน ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย รวมทั้งต้องพยายามสื่อสารให้บุคลากรทุกคนเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นการในเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและสามารถนำองค์กรได้ ในการสร้างภาวะผู้นำนั้นจะต้องทำให้ผู้นำมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะโดนบังคับให้เปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเข้าใจสัจธรรมที่ว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบแต่จำเป็นต้องมีการวางแผนดำเนินการอย่างรอบคอบ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว ต้องมีคนร่วมมือด้วย และไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้ามีส่วนร่วมจะเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ต้องการ ผู้นำที่ดีจำเป็นต้องบริหารจัดการงานในแต่ละวันให้ลุล่วงไปด้วยดี ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปรับปรุงพัฒนางานอย่างต่อเนื่องด้วย
ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ (2545) กล่าวว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คนที่ไม่คิดจะเปลี่ยน คนที่ต่อต้านการปรับเปลี่ยน คนที่มุ่งตามกระแสหรือคิดที่จะหยุดอยู่กับที่ล้วนเป็นผู้แพ้ เราต้องรีบเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกบังคับ การที่จะเป็นคนกล้าที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง สร้างความถูกต้องที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะต้องมีคุณลักษณะร่วมกันหลายปัจจัย คือ ต้องมี 7 Cs ได้แก่
1.Conviction หมายถึง ความคิด ความเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้อง ดีงาม
2.Compassion หมายถึง ความประสงค์ที่จะแสดงออกซึ่งความคิด ความเชื่อนั้น
3.Conscience หมายถึง มโนธรรม สัมปชัญญะขั้นสูงที่จะตัดสินใจว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ตนทำได้ จากที่ตนมีและสถานภาพที่เป็นอยู่
4.Clevemess หมายถึง ความฉลาดรู้ เห็นความเป็นเหตุและผลของประเด็นปัญหา
5.Connection หมายถึง เห็นความเชื่อมโยงของเรื่องต่าง ๆ รู้จักแก้ไข เข้าใจในผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น
6.Commitment หมายถึง ความผูกพันยึดมั่นในความกล้านั้นอย่างคงเส้นคงวา
7.Character หมายถึง บุคลิกที่เป็นแบบฉบับของตนเอง กล้าแสดงออกถึงความเป็นตัวตนได้อย่างถูกกาลเทศะ
การบริหารความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างความตึงเครียด ความสับสน และอาจถึงขั้นลดประสิทธิผลของงานลงได้ การเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความสำเร็จต้องมีการวางแผนที่ดี ดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ ประเมินผลอย่างถ้วนถี่ และทำงานอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารสามารถใช้กระบวนการทั้ง 8 ขั้นตอนต่อไปนี้ในการเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างเป็นระบบ (Daft, 1999)
ขั้นที่ 1 ผู้นำต้องสร้างรู้สึกให้มีการตอบสนองโดยฉับพลัน โดยผู้นำต้องเห็นความสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง
ขั้นที่ 2 สร้างความร่วมมือที่นำไปสู่การรวมกำลัง เพื่อให้เกิดอำนาจอย่างเพียงพอที่จะนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง และเพื่อการพัฒนาความรู้สึกเป็นทีมงาน
ขั้นที่ 3 พัฒนาวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ โดยผู้นำรับผิดชอบในการสร้างกฎเกณฑ์และพัฒนาวิสัยทัศน์ ซึ่งจะนำไปสู่ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนากลยุทธ์
ขั้นที่ 4 สื่อสารวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ให้ผู้ร่วมงานทุกคนรับทราบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการกำหนดกิจกรรมที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยจัดให้มีการสื่อสารในเรื่องนี้อย่างน้อย 10 ครั้ง
ขั้นที่ 5 มอบอำนาจ ให้ผู้ร่วมงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อจะได้มีการดำเนินกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ในวิสัยทัศน์
ขั้นที่ 6 สร้างชัยชนะในระยะสั้น เมื่อดำเนินกิจกรรมไปได้ระยะหนึ่ง ผู้นำควรวางแผนปรับปรุงวิสัยทัศน์ในการปฏิบัติงานโดยให้ผู้ร่วมงานทุกคนมีส่วนร่วม
ขั้นที่ 7 รวมพลังของทุกคนในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยมีการเปลี่ยนโครงสร้างและนโยบายให้เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ แต่ต้องไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงงานบางอย่าง ผู้นำอาจจำเป็นต้องจ้างบุคคลภายนอกให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงด้วย
ขั้นที่ 8 กำหนดรูปแบบใหม่ ๆ ในวัฒนธรรมองค์การ เป็นการติดตามผลเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับลักษณะนิสัย ความเชื่อ และความรู้สุขด้านจิตใจ โดยจะมีการทดแทนด้วยค่านิยมและความเชื่อใหม่ ตลอดจนสร้างความรู้สึกให้ผู้ร่วมงานเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ
บทสรุป
สรุปได้ว่าผู้นำจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะในการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีจรรยาบรรณวิชาชีพ จะต้องมีคุณลักษณะที่เอื้อต่อการบริหารท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง จึงจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีคุณภาพตามเป้าหมายที่กำหนด ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์อย่างชัดเจนว่าจะทำให้องค์กรมีคุณภาพได้อย่างไร ซึ่งเป็นความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และจะต้องนำพา หรือได้รับการยอมรับจากผู้ร่วมงานในองค์กร เพื่อขับเคลื่อนการทำงานไปสู่ความสำเร็จ