ขอบคุณครับที่ให้ผม "เสียสละ..."


ช่วงวันสองวันนี้เป็นช่วงวันและคืนที่มีบทพิสูจน์อันใหญ่ยิ่งเรื่อง "ความเสียสละ"

นับตั้งแต่เมื่อคืนเวลาเกือบ ๆ สองทุ่ม ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่เราและทุกคนกำลังรอเวลาลงอุโบสถในเวลาสามทุ่ม

ตอนนั้นเราก็เดินไปหาเพื่อน ๆ ที่จะให้ช่วยพับผ้า และก็เจอคน ๆ หนึ่งที่คิดว่าเขามีหน้าที่สำคัญในการลงอุโบสถครั้งนี้ คือ ขึ้นสวดสาธยายศีลทั้ง 227 ข้อ เพราะวันนี้ตามปกติเป็นคิวของเขา แต่อยู่ดี ๆ เขาก็บอกว่า เขาไม่ได้ทวนแล้วบอกให้เราเป็นคนสวด

โดยปกติ การจะขึ้นสวดแต่ละครั้งจะต้องเตรียมตัวค่อนข้างนาน คือ จะต้องมีเวลาทวนอย่างน้อย ๆ 7 วัน วันละหลาย ๆ รอบ รอบหนึ่งอย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมง และการทวนครั้งล่าสุดของเราก็คือ วันวิสาบูชาที่ผ่านมาก็คือประมาณ 30 วันที่แล้ว

ตอนนั้นเราทั้งเซ็ง ทั้งเบื่อ ทั้งโกรธคน ๆ นั้นว่า "จะไม่สวดก็ไม่บอก มาบอกเอาตอนที่เวลาเหลือชั่วโมงเดียว" แต่ตอนนั้นจะบ่นไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา เราก็รีบกลับมาที่พักแล้วหาหนังสือมาท่อง ชั่วโมงเดียวมันท่องไม่ทันหรอก เพราะคนที่จะขึ้นสวดแต่ละครั้งต้องทวนเป็นสิบ ๆ รอบ แต่ละรอบใช้เวลาอย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมง เราทวนไปก็ดูนาฬิกาไป ในใจก็คิดว่า ไม่ขึ้นดีกว่า มันเป็นหน้าที่เขา เกี่ยวอะไรกับเรา ถ้าเขาไม่ขึ้นมันก็เป็นความผิดของเขา แล้วเราทำไมถึงจะต้องมารับผิดชอบต่อการละทิ้งหน้าที่ของเขาด้วย

ในตอนนั้นจิตใจเราต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเองค่อนข้างมาก เพราะรู้ตัวดีอยู่แล้วถ้าขึ้นไปสวดในสภาพที่ไม่ได้ทวนอย่างนี้ "ไม่ได้เรื่องแน่" แต่ลึก ๆ ในใจเราก็คิดว่า เราสวดได้มากกว่าเขาแน่ เพราะเขาบอกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "เขาจะสวดย่อ" คือสวดไม่ครบทั้ง 227 ข้อ

แต่ไอ้เราเนี่ย อย่างไงความรู้สึกลึก ๆ ถึงแม้ว่าไม่ได้สวดมาเป็นเดือนก็สวดจบแน่ คือสวดได้ครบ 227 ข้อแน่ แต่ทว่าจะสวดตะกุกตะกัก เพราะปากไม่ได้ขยับมาเป็นเดือน

ในหนึ่งชั่วโมงนั้นทวนไปก็คิดไป บ่นไป ด่าเขาไป แต่ปากยังไม่หยุดท่องและที่สำคัญเวลาท่องจริง ๆ มีแค่ 45 นาที เพราะจะต้องมีเวลาเดินทาง เวลาที่จะต้องไปปลงอาบัติ ก็ปรากฏว่าทวนไม่จบ ทวนไปได้แค่ประมาณ 60% ในใจตอนนั้นก็หวังลึก ๆ ว่า เวลาเราเดินไป เขาคนนั้นคงจะตัดสินใจท่องเองได้ เราจะได้พ้นจากภาระตรงนี้

แต่พอเดินไปถึง เพื่อน ๆ ของเราสิบกว่าคนที่กำลังนั่งรออยู่นั้นพูดขึ้นมาว่า "เราเป็นความหวังสุดท้าย" เพราะคนที่มีหน้าที่จริง ๆ นั้น หนีเอาตัวรอดไปแล้ว

เอาแล้วสิ... เราคิดในใจว่า "ขึ้นไปสวดนี่ ไม่ได้เรื่องแน่ ๆ" ทวนก็ทวนได้รอบเดียว แถมทวนไม่จบอีกต่างหาก ถ้าเรายกเหตุผลมาอ้าง เรื่องคิวการสวด เราคงจะชนะ แต่ทว่า "เราจะแพ้ใจของตัวเอง"

อย่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไม่เถียงกับใครดีกว่า "สวดก็สวดวะ" ดีไม่ดีชั่งมัน แต่ถ้าไม่ขึ้นสวดนี่ไม่ดีนะ เพราะจะเป็นคนขี้ขลาด ขี้กลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เห็นแก่ตัว" กลัวแต่จะสวดไม่ดี สวดไม่เพราะ เพื่อนไม่ชม เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคนชมคือ "การเสียสละ"

ตอนนั้นเรามีเวลาเหลือประมาณ 5 นาที เพราะรอท่านประธานอยู่ เรานั่งไปก็พยายามคิดถึงสิกขาบทที่ทวนไม่ได้ทวนมา คิดไปก็คิดไม่ออก ต้องยืมหนังสือเพื่อนมาดูถึงสองรอบ

ดูไปก็งั้น ๆ เพราะอย่างไงมันก็จำไม่ได้อยู่แล้ว อย่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไม่ต้องไปดงไปดูมันแล้ว เวลานี้ต้องตั้งสมาธิแล้วดึงออกมาจากจิตอย่างเดียว ความคุ้น ความเคย ความชินที่เคยทวนบ่อย ๆ แบบเมื่อก่อนคงจะใช้ไม่ได้ในเวลานี้ ต้องตั้งสติแล้วเดินหน้าไปเลย

ครั้นเวลาที่ต้องขึ้นไปสวด เราก็นึกอะไรไม่ออกจริง ๆ เราก็ตัดสินใจว่า ไม่นงไม่นึกดีกว่า ปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติ แล้วก็ไหลไปได้จริง ๆ ถึงแม้นว่ามีติดขัดบ้าง แต่ก็ท่องไปจนจบตามความรู้สึกลึก ๆ ที่มีก่อนที่จะทำ

เมื่อคืนตอนเดินกลับมาเรารู้สึก "ปิติ" มาก ไม่ได้ปิติเพราะว่าสวดดีเหมือนคราวก่อน แต่รู้สึกปิติที่เราได้ "เสียสละ" และไม่ปล่อยโอกาสในการทำความดี เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เราคงไม่ทำ ถ้าคิดว่าทำแล้วไม่ดี ก็กลัวเพื่อนล้อ ไม่ดีไม่ทำ แต่ครั้งนี้มัน "ดีที่เราทำ" ดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่ถ้าไม่ทำน่ะไม่ดีแน่ ถ้าทำไปแล้วจะดีหรือไม่ดีนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า "เราทำหรือเปล่า...?"


เรื่องที่สอง

วันนี้ตอนสายได้ข่าวว่าเพื่อน ๆ กลุ่มเดิมที่เขาผลักภาระให้เราเมื่อคืนจะไปเที่ยวข้างนอกกัน ซึ่งที่ที่เขาจะไปนั้น เรารอคอยการไปมากว่า 6 เดือนก็ไม่มีโอกาสจะไปสักที

แต่จำเพาะว่าทำไมต้องไปกันในวันนี้ด้วย เพราะว่าในช่วงบ่าย 3 โมง เราได้สั่งรถปูนเข้ามาเพื่อเทตอหม้ออาคารที่รับผิดชอบควบคุมงาน จะไปกับเขาแล้วทิ้งงานหรือจะอยู่ทำงานแล้วอดไป

แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่า "ใครอยากไปสวนหลุดโลกก็ให้เขาไป แต่เราขอหลุดจากโลกที่เต็มไปด้วยภัยแห่งวัฏฏะสงสารดีกว่า"

เราก็คิดในใจว่า "ช่างหัวมัน" ไม่ไปก็ไม่ไป หน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบนั้นสำคัญที่สุด เราอยู่นี้ไม่ได้มาอยู่เพื่อหาเที่ยวหาเล่น เราอยู่เพื่อทำความดีเพื่อพ่อเพื่อแม่ เพื่อเสียสละแบ่งเบาภาระขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ ก็ดีเหมือนกันจะได้พัฒนาจิตใจของเราให้มันสูงขึ้น ไม่พ่ายแพ้ต่อกิเลส ความอยากที่จะชักจูงจิตใจไปในทางต่ำ

เหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งบ่ายวันนี้ เป็นโจทย์สำคัญในการพัฒนาจิตใจมาก

เราต้องขอขอบพระคุณคนที่ผลักภาระให้เรามาก เพราะเขาให้โอกาสให้เราได้ทำความดีครั้งใหญ่ ให้โอกาสเราได้ฝึกเอาชนะจิตใจของเราเอง

เราก็ขอบคุณทุก ๆ คนที่บีบ ที่เค้นเรา กวนใจเรา ไปเที่ยวกันโดยทิ้งให้เราทำงานงก ๆ เพราะสิ่งที่เราทำนั้น เป็นทางสายที่ตรงแล้วในการที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏแห่งนี้...

คำสำคัญ (Tags): #ความเสียสละ
หมายเลขบันทึก: 369989เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2010 19:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2014 18:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท