ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังเกิ ดสงครามกลางเมือง จากการกระชับพื้นที่ของภาครัฐ เลยมาจนถึงการประกาศเคอฟิวที่ยาวนานเป็นสัปดาห์ สิ่งที่แสดงให้เห็นนอกจากภาครัฐไม่มีความจริงใจในการดูแลคนยากจน คนยากไร้แล้ว สิ่งหนึ่งหดหู่หนักมากกว่านั้น ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ (คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ผู้ป่วยข้างถนน) กลายเป็นมนุษย์ที่ถูกลืมของภาครัฐ หรือพูดในอีกแง่ ภาครัฐไม่เคยคิดว่าคนเหล่านี้เป็นมนุษย์ แต่มองว่าเขาเป็นขยะของสังคม
อยากจะทราบเหลือเกินว่าการที่ภาครัฐประกาศ เคอฟิว ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ท่านเคยทราบถึงผลกระทบ ที่ตีวงกว้างในสังคมบางไหม หรือเพียงเพราะผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเหล่านี้ไม่มีตัวตนสำหรับภาครัฐ มีความหมาย ไม่ใช่หัวคะแนน จึงไม่เคยได้ถูกมองเห็นสักที การที่ภาครัฐประกาศเคอฟิว เคยคิดถึงคนที่ไม่มีเคหะสถานหรือไม่ และคิดว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการการดูแลในภาวะที่เขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เขาจะเป็นอย่างไร
ด้วยเหตุที่ต้องการถึงการประกาศ เคอฟิว ที่ผ่านมานั้น ในวันนี้สิ่งที่เราพบในพื้นที่ ในช่วงเวลาที่รัฐประกาศเคอฟิว อิสรชนและบ้านมิตรไมตรี ที่ลงพื้นที่ดูแล ช่วยเหลือ ผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะนั้นไม่สามารถลงพื้นที่ทำงานได้ ในหนึ่งสัปดาห์เต็ม เพราะเวลาลงพื้นที่ของเราคือ 15:00 น. ถึง 23:00 น. แต่ผลกระทบโดยกว้างที่พบ คือ มีผู้ป่วยด้วยบาดแผลลึกเป็นหนอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ อย่างน้อย 2 ราย และ เสียชีวิตในพื้นที่ 1 ราย
หลายคนคงสงสัยว่าเกี่ยวเนื่องหรือมีความเกี่ยวข้องอะไรกับการประกาศเคอฟิวของรัฐ ที่อิสรชนกำลังอธิบายคือ ในหนึ่งสัปดาห์ จะมีหน่วยงาน คือ อิวสรชน มูลนิธิกระจกเงา บ้านมิตรไมตรี ลงพื้นที่กันสลับสับเปลี่ยน มาดูแลผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ แต่ว่าในช่วงที่ประกาศเคอฟิว หน่วยงายทั้งหมดไม่สามารถเข้าพื้นที่ คนที่เคยใช้ชีวิตบริเวณนั้น พ่อค้าแม่ค้า ก็ต้องกลับบ้าน หรือถ้าที่อยู่ที่เป็นเคหะสถาน แล้วผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ (คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ผู้ป่วยข้างถนน) ก็ต้องหาที่หลบพักพิง เช่นตามตรอกซอย ตามใต้อาคาร ตามใต้ต้นไม้ที่มีแสงสว่าง พอเจ็บป่วยไม่มีใครไปดูแล เพราะหน่วยงานและคนในพื้นที่ที่เคยช่วยเหลือกัน ไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ใครอยู่ตรงไหน อย่างไร เพราะการใช้ชีวิตในแต่ละวันในช่วงสัปดาห์ที่ประกาศเคอฟิวนั้น มีเวลาชีวิตของคนจำกัด พอยกเลิกการประกาศเคอฟิว สิ่งที่พบคือ บางรายเจ็บป่วยหนัก ช่วยตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ได้ และมีหนึ่งรายที่เสียชีวิต
หนึ่งรายที่เสียชีวิต คือลุงสมศักดิ์ เป็นลุงแก่ อายุที่แกแจ้งอิสรชนคือ 63 ปี ถ้าใครติดตามงานอิสรชนจะเห็นว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาทางอิสรชนและมูลนิธิกระจกเงาพยายามประกาศตามหาแกว่าแกหายไปไหน เพราะทุกครั้งที่ลงพื้นที่ ช่วงเย็น ๆ แกจะเดินมานั่งคุยด้วย ซื้อส้ม ขนม ในบริเวณนั้น สิบบาท มาให้อาสาสมัคร น้อง ๆ ที่มาลงพื้นที่กินกัน แต่หลังจากการยกเลิกการประกาศเคอฟิว อิสรชนก็ลงทำงานตามปกติไม่เห็นแกมา 2 ครั้ง ที่อิสรชนลงพื้นที่ อิสรชน มูลนิธิกระจกเงา บ้านมิตรไมตรี พยายามตามหาว่าแกไปไหน จนวันนี้เป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า แกเสียชีวิตได้อาทิตย์กว่า จากการสอบถามกันในพื้นที่ ว่ามีรถปอเต็กติ้ง มารับแกไป ว่าเป็นลุงแก่ ๆ ตัวผอมเหลือแต่กระดูก เป็นพ่อบ้านเฝ้าโรงเจ หลาย ๆ คนที่เคยเห็นแกมาซื้อของประจำก็แปลกใจที่แกหายไปได้อาทิตย์กว่า ๆ จนถามกันไป ถามกันมาในพื้นที่พยายามตามหากัน จนข้อมูลล่าสุดว่าแกถูกส่งขึ้นรถปอเต๊กตึ้ง สิ่งที่อิสรชน มูลนิธิกระจกเงาและบ้านมิตรไมตรี ต่อไปที่ต้องทำคือ ไปตามข่าวที่ปอเต๊กตึ้งว่าช่วงเวลาอาทิตย์กว่า ๆ ที่ผ่านมาได้รับศพไหนมาจากสนามหลวง คลองหลอดบ้างไหม เพราะเป็นที่ค่อนข้างแน่ใจคือ ในพื้นที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีการรับศพจากคลองหลอดไปหนึ่งศพ และผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะหลายคนที่หายไปช่วงการประกาศเคอฟิวได้ทยอยกับมาในพื้น เว้นแต่ลุงแก
อีกสองราย ที่วันนี้อิสรชนเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินมารับชายที่มีอาการป่วยหนักที่เท้า ขาลอกเห็นเนื้อสด ๆ อันเนื่องมาจากเบาหวาน และการเจ็บป่วยด้วยวัณโรค กับหญิงอีกคนที่พรุ่งนี้ทางบ้านมิตรไมตรีจะมารับไปส่งเข้ารีบการรักษา ที่สถานสงเคราะห์ เพราะแกเข้ารับการการรักษาที่โรงพยาบาลกลาง แต่โรงพยาบาลกลางให้ส่งหาญาติ แต่แกไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ ทำให้ต้องมานอนป่วยที่สนามหลวง เป็นแผลหนองลึก นอนโทรมริมคลอง
คำถามคือ ถึงแม้คนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตก็ไม่เคยถูกมองอย่างมีค่าจากภาครัฐ ไม่เคยนึกถึงคนกลุ่มนี้ นี้หรือคือการลดความกดทับกันในสังคม เพราะความจริงใจในการดูแลคนที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะของภาครัฐยังไม่มีเลย อย่างล้าสุด กทม.ก็ประกาศปิดสนามหลวงทั้งที่ยังไม่มีระบบรองรับการช่วยเหลือที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ หรือแม้แต่ผู้ป่วยข้างถนน ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการทางจิต หรืออาการทางสมอง คือ อัลไซเมอร์หรือพากินสัน อย่างลุงสมศักดิ์ที่เสียชีวิตก็เป็นอัลไซเมอร์
เขียนและเรียบเรียงโดย : อัจฉรา สรวารี