สิ่งควรทำหลังตักน้ำใส่กะโหลก


"เราชอบหลอกตัวเอง เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ มักง่าย อีกทั้ง เราไม่เคยเรียนรู้วิธีคิดเชิงวิพากษ์ เรารับความเห็นที่แตกต่างกับของเราและทำงานร่วมกันไม่ได้"

ข้อเขียนชิ้นนี้  เป็นของท่านอาจารย์ ดร.ไสว  บุญมา  ที่แอมมี่เคารพมากๆ และเคยได้รับฟังการบรรยายจากท่าน(ชนิดใกล้ชิด ห่างกันเพียงสองฟุตเท่านั้น)

อยากให้เราได้ลองอ่านกันและกลับเอาไปคิดหลายๆ ครั้ง แล้วเริ่มลงมือทำอะไรกันจะดีกว่าค่ะ ... แอมมี่ขอชื่นชมกัลยาณมิตรใน gotoknow หลายท่าน ที่ได้เริ่มทำสิ่งดีดีเพื่อช่วยเหลือสังคมโดยไม่ย่อท้อ  เช่น อ.ขจิต  ฝอยทอง  คุณป้านงนาท  สนธิสุวรรณ และท่านอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่ได้เอ่ยนามหรือยังไม่ได้รู้จัก  ขอขอบคุณจากใจ  ที่ทำให้สังคมไทยดีขึ้นนะคะ ^^

นี่ค่ะ  บทความดีดี


สิ่งควรทำหลังตักน้ำใส่กะโหลก

โดย ไสว บุญมา

6 มิถุนายน 2553 14:04 น.

      เมื่อวันพุธที่ 26 พฤษภาคม ผมเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เรื่อง A Guide to the Perfect Thai Idiot ผมตั้งชื่อบทความเลียนแบบชื่อของหนังสือเรื่อง Guide to the Perfect Latin American Idiot เขียนโดยชาวละตินอเมริกันสามคน ผมเห็นว่าหนังสือเล่มนั้นน่าสนใจ จึงทำบทคัดย่อไว้ชื่อ “แนะนำละตินอเมริกันปัญญาอ่อน” ซึ่งอาจหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์
       

       แก่นของเรื่อง “แนะนำละตินอเมริกันปัญญาอ่อน” อยู่ที่ผู้แต่งสรุปว่า ปัญหาของละตินอเมริกามิได้มาจากเหตุปัจจัยภายนอกดังที่ชาวละตินอเมริกันโดยทั่วไปใช้เป็นข้ออ้าง หากเกิดจากพฤติกรรมของชาวละตินอเมริกัน ฉะนั้น การแก้ปัญหาต้องมาจากชาวละตินอเมริกันเอง ผมมองว่าเมืองไทยก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ปัญหาของเมืองไทยเกิดจากพฤติกรรมเลวทรามของคนไทย แต่พวกเราไม่ยอมรับ
       
       หลังบทความพิมพ์ออกมา ผมได้รับจดหมายจำนวนมากจากทั่วโลก ผู้เขียนจดหมายมักรู้จักเมืองไทยมานานและเห็นด้วยกับแก่นของบทความ อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกผมว่าไม่กล้าบอกคนไทยเพราะกลัวจะเกิดอันตรายแก่ตัวเอง หลายคนขอร้องให้ผมเขียนบทความเป็นภาษาไทยในแนวเดียวกัน และอีกหลายคนถามหาต้นฉบับภาษาไทยเพื่อจะนำไปให้ภรรยาและเพื่อนคนไทย เนื่องจากผมไม่มีต้นฉบับเป็นภาษาไทย จึงตัดสินใจแปลบทความนั้นซึ่งอ้างถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีใจความดังนี้
       
       หากถามคนไทยถึงเหตุปัจจัยของเหตุการณ์อันน่าอดสูเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือของปัญหาอะไรเกี่ยวกับเมืองไทยก็ตาม เขาจะโทษสิ่งอื่นนอกจากตัวเองเสมอ ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมจึงมักตอบคำถามตามแนวที่ทำกันมาจนชินนี้ด้วย แต่ในปัจจุบัน ผมมองว่า ถ้าพวกเราคนไทยยังใช้การหลอกตัวเองที่เราทำกันมานมนานนี้ต่อไป เมืองไทยจะเดินเข้าสู่ภาวะรัฐล่มสลายภายในเวลาอันสั้น
       

       เรานำเสนอเมืองไทยในนามของสยามเมืองยิ้มที่มีประชาชนเป็นชาวพุทธที่อ่อนโยน เราตักบาตรเป็นประจำและทำทานกับวัดเสมอโดยเชื่อว่านั่นเป็นการให้เพื่อสวัสดิการของผู้อื่น แต่ลึกลงไปจริงๆ เราทำสิ่งเหล่านั้นเพราะเราต้องการสิ่งตอบแทน เช่น การไปสวรรค์หรือการมีความร่ำรวยในชาติหน้า มันจึงเป็นการแลกเปลี่ยนชัดๆ มิใช่การให้ด้วยจิตใจเปี่ยมเมตตา พวกเราเพียงส่วนน้อยที่ให้ด้วยจิตใจจริงๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วเราเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก
       
       ทุกครั้งที่เราไปวัด หรือเข้าร่วมพิธีทางพุทธศาสนา เรารับและเปล่งศีลห้าออกมาอันเป็นการให้สัญญาว่าเราจะนำศีลห้าไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่เราก็ทิ้งศีลห้าไว้ตรงนั้นเพราะเราเป็นคนที่ให้คำมั่นสัญญาโดยไม่คิดที่จะรักษาสัญญานั้น ตามความเป็นจริงแล้ว เราเข้าใจพุทธศาสนาเพียงจำกัด แม้กระทั่งในหมู่พระสงฆ์ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง รู้แค่การทำพิธีกรรมซึ่งนำรายได้ง่ายๆ มาให้ตน
       
       พฤติกรรมเช่นนี้สะท้อนสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของเรา นั่นคือ เราเป็นคนขี้เกียจและมักง่ายโดยแสวงหาทางลัดไปสู่ความสบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเสมอ หวยจึงขายหมดทุกงวดด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตามหน้าใบหวย โสเภณีจึงเต็มบ้านเต็มเมือง และเด็กสาวจึงพร้อมที่จะแต่งงานกับฝรั่งเฒ่าๆ เพราะเขามีบำนาญ
       
       เราชอบพูด แต่ไม่ชอบฟัง แม้แต่เวลาเราฟัง เราก็มักไม่ได้ยิน ทั้งนี้เพราะเราไม่เคยเรียนรู้วิธีคิดเชิงวิพากษ์ เรารับความเห็นที่แตกต่างกับของเราและทำงานร่วมกันไม่ได้ ในบรรดาวัดที่เรามีอยู่กว่า 30,000 แห่งนั้น จำนวนมากตั้งอยู่ติดๆ กัน ทั้งนี้เพราะเมื่อเราไม่เห็นด้วยกับวัดหนึ่ง เราก็ไปสร้างขึ้นมาใหม่ในย่านเดียวกัน การสหกรณ์ในเมืองไทยไม่ประสบความสำเร็จเพราะเรารับความเห็นที่แตกต่างกับของเราไม่ได้
       

       เราเชื่อว่าเราพร้อมที่จะให้อภัยเสมอเพราะเรามีคำพูดชนิดติดปากว่า “ไม่เป็นไร” เมื่อใครก็ตามทำผิด แต่นั่นเป็นเพียงการสะท้อนวัฒนธรรมจำพวกดูดายและแก้ต่างให้แก่ตัวเอง เราสามารถอ้างสุภาษิตซึ่งเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง อ้างบทกลอนที่โด่งดังและอ้างคำพูดคมๆ ของปราชญ์เพื่อแก้ต่างให้แก่การกระทำทุกอย่างของเราได้เสมอ
       
       เราบ่นนักบ่นหนาเรื่องปัญหาความฉ้อฉล แต่เราไม่ทำอะไรที่จะช่วยให้สภาพดีขึ้น ร้ายยิ่งกว่านั้น เราเลือกนักการเมืองฉ้อฉลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเราเห็นว่าเงินและอิทธิพลของเขาจะให้ประโยชน์แก่เรา การสำรวจประชามติครั้งแล้วครั้งเล่าชี้ว่าพวกเราส่วนใหญ่รับความฉ้อฉลได้ตราบใดที่เรามีส่วนแบ่งด้วย การสำรวจประชามติของสำนักหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาพบว่าเกือบ 85% ของพวกเรามองว่าการโกงกันในการทำธุรกิจเป็นของธรรมดา ความจริงข้อนี้ชี้ว่าเราเป็นเมืองโจร เมื่อผมอ้างถึงความคดโกงในคอลัมน์นี้ มีคนไทยด่าผมชนิดสาดเสียเทเสียด้วยคำพูดอันแสนหยาบคายที่ไม่ควรนำมาพิมพ์หรือพูดให้มนุษย์ได้ยิน
       
       การหลอกตัวเองเป็นเวลาอันยาวนานนี้ก่อให้เกิดการขาดดุลคุณธรรมตามคำนิยามของโจเซฟ สติกลิตซ์ จนทำให้เมืองไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤตทางคุณธรรมมาเป็นเวลานาน วิกฤตนี้มีอาการแสดงออกมาในรูปของวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 และการประท้วงที่นำไปสู่การเผาบ้านเผาเมืองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แน่ละ เราจะไม่ยอมรับความจริงข้อนี้เพราะเราเป็นคนดีพรั่งพร้อมและจะโกรธมากหากชาวต่างชาติพูดอะไรในเชิงตำหนิเรา
       

       แต่ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นจะกระตุ้นให้เรามองดูตัวเอง มองหลักยึดของเรา และเริ่มลดความขาดดุลคุณธรรมลงพร้อมกับพยายามทำสิ่งที่มีคุณธรรมเกินดุล นั่นคือ อาสาออกมาช่วยสังคมในแนวที่ชาวกรุงเทพฯ ออกมาช่วยกันทำความสะอาดถนนเมื่อวันสุดสัปดาห์ที่แล้ว และทำกันเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง”
       

       ในบรรดาจดหมายจำนวนมากที่ผมได้รับ ฉบับแรกมาจากคนไทยซึ่งเขียนไปหาบางกอกโพสต์เพื่อเสนอให้พิมพ์บทความพร้อมกับคำแปลแจกจ่ายไปตามโรงเรียนและวัดทั่วเมืองไทยโดยเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง อีกไม่นาน ผมได้รับจดหมายจากฝรั่งซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคอีสานของไทย เขาเสนอจะให้ค่าใช้จ่ายอีกครึ่งหนึ่ง จดหมายทั้งสองนั้นสะท้อนถึงจดหมายที่ผมได้รับเกือบทั้งหมด นั่นคือ อยากให้คนไทยได้พิจารณาตัวเอง มิฉะนั้น ปัญหาทั้งหลายไม่มีทางแก้ได้สำเร็จ ส่งผลให้เมืองไทยเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายหายนะ เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเป็นเพียงน้ำย่อยเท่านั้น อีกไม่นานเราจะเห็นเหตุการณ์ซึ่งเลวร้ายกว่านั้นอีก
       
       เป็นที่น่าแปลกใจที่ไม่มีคนไทยเขียนไปประณามผมแบบหยาบคายเช่นเดียวกับครั้งที่ผมเขียนบทความเกี่ยวกับความฉ้อฉลของคนไทยลงในหน้าบางกอกโพสต์เมื่อปีที่แล้ว หากการที่ผมไม่ถูกประณามหมายความว่า คนไทยรับการถูกวิจารณ์แบบตรงไปตรงมาได้ ผมจะดีใจเป็นที่สุด ทั้งนี้เพราะการมองเห็นความบกพร่องของตัวเองเป็นก้าวแรกที่จะทำเมืองไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง
       
       อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ การยอมรับความบกพร่องของตัวเองอย่างเดียวไม่พอเพราะบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพสงครามซึ่งกำลังถูกโจมตีด้วยกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำลายสถาบันสำคัญๆ เพื่อตั้งรัฐไทยใหม่ พวกเราต้องออกไปรณรงค์โดยตรงผ่านกิจกรรมที่ตัวเองทำได้ เช่น ไม่ให้การยอมรับแก่นักการเมืองที่รู้กันว่าฉ้อฉลไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งอะไร ไม่สนับสนุนธุรกิจของเครือข่ายนักการเมืองพวกนั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มเครือข่ายโดยการขายตรงอย่างแข็งขัน นั่นคือ บอกเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องถึงอันตรายที่พวกก่อการร้ายกำลังกระทำและชักนำพวกเขาให้มาเข้าเครือข่ายความเคลื่อนไหวของฝ่ายเรา

หมายเลขบันทึก: 364845เขียนเมื่อ 8 มิถุนายน 2010 05:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 17:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท