ทิศทางการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


ทิศทางการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

 

          บาวนาคร*

ประเด็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในตอนนี้ไม่มีการพูดถึงกันมากนัก ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาและนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลปัจจุบันมากกว่า ซึ่งภารกิจด้านการถ่ายโอนด้านการศึกษาเป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งได้กำหนดให้มีการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาของรัฐให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2543  โดยมีภารกิจด้านการศึกษาที่ถ่ายโอน  2  ลักษณะ  กล่าวคือ ภารกิจการศึกษาที่ถ่ายโอนโดยไม่ต้องประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ได้แก่  โครงการอาหารกลางวัน  อาหารเสริม  (นม)  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  และที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน  เป็นต้น  ส่วนภารกิจที่ถ่ายโอนโดยต้องมีการประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ได้แก่  การถ่ายโอนสถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา  ประถมศึกษา  และมัธยมศึกษา  โดยให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง  ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทจะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความพร้อมก่อน  จึงมีสิทธิและรับผิดชอบจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

นโยบายรัฐบาลปัจจุบันด้านการศึกษาฟรี 15 ปี นั้นจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้มีการเชื่อมโยงกับการจัดการศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นองค์กรในชุมชนที่ได้รับผิดชอบด้านการศึกษาและได้มีการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีภารกิจหน้าที่ในด้านการจัดการศึกษาในท้องถิ่น แต่อีกด้านหนึ่งความพร้อมด้านการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่นั้น ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการ ทั้งทางด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ทำให้การถ่ายโอนภารกิจมีการหยุดชะงักลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง เช่น เทศบาล นั้นได้มีการจัดการศึกษาอยู่ก่อนแล้วก็สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นโรงเรียนในความรับผิดชอบของเทศบาล การศึกษาระดับอนุบาลหรือศูนย์เด็กเล็กบางส่วนนั้นก็ได้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่แล้วและได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการปฏิรูปการศึกษานั้นได้มีนักวิชาการหลายท่านได้นำเสนอแนวคิดทิศทางด้านการศึกษาไว้ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญด้านการศึกษา ดังนี้

สมพงษ์  จิตระดับ ได้เสนอทางเลือกทางออกของการศึกษาไทย ดังต่อไปนี้ 1) ในเชิงนโยบายของรัฐ ต้องเน้นการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติเฉพาะที่ต้องให้ความสำคัญกับนโยบายภาคสังคม การศึกษา ชุมชน ครอบครัว คุณภาพประชากร เด็กและเยาวชน 2) หลักสูตรการศึกษา ระบบการเรียนรู้ต้องสร้างหลักสูตรใหม่ยกเลิกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี พ.ศ.2542 ระบบราชการต้องยุติบทบาทการกำหนดหลักสูตรการศึกษาของชาติ มีองค์กรมหาชนที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านหลักสูตรการศึกษาขึ้นโดยตรง เพื่อกำหนดองค์ความรู้แต่ละระดับจากกระบวนการวิจัยทุกขั้นตอนให้ลดเนื้อหาน้อยลง เน้นการเรียนรู้ประชาธิปไตย 3) การปรับเปลี่ยนระบบแอดมิสชั่นส์ใหม่ ระบบการสอบคัดเลือกต้องมีหลายมิติเปิดโอกาสเชื่อมโยง และใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และมีจำนวนไม่มากนัก  4) การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน การขับเคลื่อนภาคประชาธิปไตยประชาสังคมแนวราบด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม งานวิจัยภาคสนามด้วยการตั้งโจทย์คำถามวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น 5) การรื้อปรับองค์กรสนับสนุน ช่วยเหลือภาคสังคม การศึกษา คุณภาพชีวิต เด็กและเยาวชนให้เกิดแนวคิดที่เกิดความสนใจร่วมกันได้  6) ผลักดัน สภาเด็กและเยาวชน ให้เกิดขึ้นด้วยการรวมตัวกันในวิถีทางประชาธิปไตย

ส่วนทางด้าน วิทยากร เชียงกูล ได้สรุปแนวทางการปฏิรูปการจัดการศึกษา เพื่อสร้างคุณภาพและความเป็นธรรม ไว้ดังนี้ คือ 1)  ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารเรื่องการศึกษาให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพและมีวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวมเพิ่มขึ้น โดยลดขนาดและลดบทบาทของการบริหารแบบรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง     2) ลงทุนปฏิรูปการศึกษาปฐมวัยของเด็กวัย 3 – 5 ปีทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีคุณภาพต่ำอย่างเร่งด่วน3) แก้ปัญหาเด็กออกกลางคันในระดับประถมมัธยม และปัญหาโรงเรียนในเขตยากจนที่มีคุณภาพต่ำกว่าโรงเรียนในเขตร่ำรวยอย่างจริงจัง 4)ปฏิรูปการจัดสรรและการใช้งบประมาณเรื่องการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพและความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น   5) ปฏิรูปด้านคุณภาพ  ประสิทธิภาพ และคุณธรรมของครูอาจารย์อย่างจริงจัง  6)  เปลี่ยนแปลงวิธีการวัดผลสอบแข่งขันและการคัดเลือกคนเข้าเรียน มหาวิทยาลัยรัฐ  จากการสอบแบบปรนัยที่เน้นคำตอบสำเร็จรูปเป็นการวัดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองที่สะท้อนความรู้ความสามารถที่เป็นองค์รวมเชิงวิเคราะห์ได้  7) พัฒนาการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยที่สามารถจูงใจ ให้ประชาชนไทยส่วนใหญ่ที่ปัจจุบันได้เรียนแค่ชั้นประถมศึกษาได้สนใจและได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง  8) วางแผนและลงทุนพัฒนาแรงงานให้มีความรู้และทักษะที่เป็นที่ต้องการของระบบเศรษฐกิจสังคมมากกว่าที่จะปล่อยให้มีการขยายตัวตามความพร้อมของครูผู้สอนในสถาบันการศึกษา  9 ) ระดมทุนเพื่อพัฒนาหรือปฏิรูปการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างจริงจังอย่างถือเป็นวาระสำคัญของชาติ  โดยการปฏิรูปการเก็บภาษี  เช่น  เก็บภาษีมรดก  เพิ่มภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า  ภาษีการบริโภคฟุ่มเฟือย  10) ทำให้การปฏิรูปการศึกษาเชื่อมโยงกับการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองแบบทำให้ประชาชนและชุมชนเข้มแข็งขึ้น

การศึกษาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ดังนั้นทิศทางด้านการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาจะต้องมีการปรับตัว ตลอดจนพัฒนาบุคลากรและระบบการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาเพื่อรองรับการจัดการศึกษาในอนาคต และเตรียมความพร้อมในด้านการศึกษาในท้องถิ่น จัดให้มีหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นนั้นๆ รวมทั้งการให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของท้องถิ่น การศึกษาจะมีคุณภาพได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรที่จะร่วมกันคิดร่วมกันหาแนวทางการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นให้ยั่งยืนต่อไป

 

คำสำคัญ (Tags): #ศรีสะเกษ6
หมายเลขบันทึก: 363543เขียนเมื่อ 3 มิถุนายน 2010 19:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท