หนังสือการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ เขียนโดยเปาโล แฟร์ แปลโดยช.
เขียวพุ่มพวง วันนี้เลยสรุปเอาคอนเซ็ปป์หลัก ๆ มาฝากไว้ให้ชาว
มศว.บางเขน เพอนครู ได้อ่านกันจะลองเอาไปพิจารณา
หนังสือเรื่องการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ของเปาโลแฟร์นี้ได้พูดถึงปัญหาที่มนุษย์มีร่วมกันคือ
ปัญหาการทำลายความเป็นมนุษย์
ซึ่งมีลักษณะของการปล้นความเป็นมนุษย์
อันว่าความเป็นมนุษย์นั้นถือเป็นประเด็นหลักที่แฟร์เน้น
แฟร์ได้แบ่งคนเป็น 2 จำพวกหลัก คือ ผู้กดขี่ หรือ ผู้ปล้น
และผู้ถูกกดขี่ หรือผู้ถูกปล้น การปล้นในที่นี้ต่างจากการปล้นทรัพย์
ตรงที่
ทั้งฝ่ายปล้นและผู้ถูกปล้นต่างก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
กล่าวคือในขณะที่ผู้ถูกกดขี่ได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ของตนไปแก่ผู้กดขี่
แต่ก็หาได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ของผู้กดขี่เพิ่มขึ้น
ในทางกลับกันผู้กดขี่ก็ได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนทันทีที่มีการกดขี่
การปล้นที่กล่าวมาทั้งหมดมันก็เป็นการเอารัดเอาเปรียบ
การใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ฐานความคิดนี้สามารถเชื่อมกับการศึกษาได้ เปาโล แฟร์
พูดถึงการศึกษาแบบฝากธนาคาร คือ ครูรู้ทุกอย่าง ครูเป็นผู้พูด
ครูคิด ครูตั้งกฏเกณฑ์ ครูเลือกและยัดเยียด นักเรียนรับทุกอย่าง
สรุปแล้วครูเป็นผู้กระทำในกระบวนการเรียนทั้งหมด
นักเรียนเป็นเพียงผู้ถูกกระทำเหมือนวัตถุ การศึกษาแบบฝากธนาคารนี้
แฟร์ถือว่าเป็นการศึกษาที่ถูกกำหนดขึ้นจากผู้มีอำนาจกดขี่ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย
กล่าวคือ การใช้อำนาจควบคุมนักเรียนให้เดินตามหลักสูตร กฎเกณฑ์
ระเบียบแบบแผนของคนกลุ่มน้อย
เนื่องด้วยมันมีวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่ผู้กดขี่ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยจะสามารถควบคุมและทำการกดขี่คนส่วนมากได้ต่อไป
การศึกษาแบบฝากธนาคารจึงเป็นการศึกษาที่พยายามปิดกั้นไม่ให้ผู้ถูกกดขี่เห้นโลกอย่างที่เป็นจริง
ไม่เห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในโลก งมงาย และโทษโชคชะตา
โดยเฉพาะการที่ครูเป็นคนเล่าความรู้ให้นักเรียนฟังพบว่าความรู้นั้นเกิดจากความเชื่อมั่นว่าความรู้เป็นสิ่งตายตัว
คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ
ที่ความรู้นั้นห่างไกลจากประสบการณ์ของนักเรียน
โดยที่นักเรียนต้องเชื่อตามเหมือนถังขยะรองรับปฏิกูลจากครู
แน่นอนว่าการศึกษาเช่นนี้ได้ทำให้ผู้ถูกกดขี่มองโลกบิดเบี้ยว
แยกตัวเองอกจากโลกมีชีวิตอยู่ในโลกแต่ไม่อยู่กับโลก
การวัดความรู้ก็วัดเอาว่านักเรียนสามารถรับรู้สิ่งงที่ครูสอนได้มากเพียงใดนักเรียนสามาราถเล่าเรื่องตามที่ครูสอนได้เหมือนครูเพียงใดเท่ากับสกัดกั้นความคิดของนักเรียนไปในตัว
การศึกษาจึงกลายเป้นแบบฝึกหัดของการกดขี่สอนให้นักเรียนเชื่ออย่างงมงาย
ในการศึกษาแบบฝากธนาคารนี้จะปลูกฝังการเดินตาม ๆ กัน
คือคิดให้เหมือนคนอื่น ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่เหมาะสม
เท่ากับว่าเรายอมให้เขากดขี่ต่อไปนั่นเอง
ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบฝากธนาคารนอกจากเป็นการใช้อำนาจกดขี่แล้วยังมีลักษณะของการต่อต้านการเสวนาอยู่สี่ประการคือ
๑)การเอาชนะ
กล่าวคือครูพยายามเอาชนะนักเรียน ครูถูกเสมอ
ซึ่งก็เช่นเดียวกับผู้กดขี่จะเอาชนะผู้ถูกกดขี่ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์กติกาและความเชื่อต่าง
ๆ มาทำให้คนอยู่ในสภาพที่เขาต้องการ เช่น เรียนมาก ๆ จะได้งานดี ๆ
งานหายาก ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นเรื่องสำคัญ
๒)การแบ่งแยกและปกครองผู้กดขี่พยายามสร้างความร้างฉานในหมู่ผู้ถูกกดขี่
๓)การจำกัดความคิดถูกผิดเพื่อให้ตกเป็นทาสทางความคิด
๔)การรุกรานทางวัฒนธรรมเพื่อทำให้ผู้ถูกดขี่รู้สึกต่ำต้อย
หากมองมาที่สังคมไทยก็จะพบว่าการศึกษาที่ผ่านมาและเป้นอยู่ในปัจจุบันเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจที่จะถ่ายทอดความคิด
และ
ค่านิยมให้ผู้เรียนที่เสียเปรียบอยู่แล้วให้ตกเป็นเบี้ยล่าง
และถูกกดขี่ต่อไป ฉะนั้น
การเรียนการสอนที่เราพบเห้นจึงเป็นการเรียนที่ครูและหลักสูตรผูกขาดสิ่งที่ควรจะเรียนสิ่งที่ควรจะรู้โดยสร้างมายาขึ้นมาหลอกล่อรวมทั้งการศึกษาที่พยายามขยายออกไปสู่ชนบทก็พยายามทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าความรู้ที่ตนมีต่ำต้อยด้อยค่าใช้อะไรไม่ได้ต้องมาเอาความรู้ที่มีค่ามากกว่าไปใช้
ซึ่งเมื่อมองในมุมนี้จะเห็นว่ามันเป็นการกินกันเป็ทอด ๆ
ในระบบทุนนิยมโลกก็ว่าได้เลยทีเดียว
จุดนี้สะท้อนถึงการสร้างมายาของความรู้ให้คนตกเป็นทาส
โดยมีเครื่องล่อเป็นเงินและอุดมการณ์จอมปลอมของผู้กดขี่ซึ่งทำกันมานานนับศตวรรษ
แล้วการศึกษาอย่างไรที่เป็นการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่
สำหรับแฟร์เขามองว่ามันต้องเป็นการศึกษาที่ทำให้ผู้ถูกกดขี่เห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริง
ๆ
การศึกษาต้องมุ่งลงไปที่การแก้ปัญหาของมวลมนุษย์มุ่งให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
การศึกษาแบบใหม่ต้องทำลายความเชื่องมงาย โดยใช้การเสวนาแทนการสอน
เพราะการเสวนาจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์
กระตุ้นให้เกิดการไตร่ตรอง และลงมือแก้ปัญหา
ความรู้จึงไม่หยุดนิ่งตายตัว
อย่างนี้จึงจะสามารถกอบกู้ความเป็นมนุษย์ให้กลับคืนมาได้
เพราะการช่างคิดช่างถามเป็นลักษณะสำคัญของความเป็นมนุษย์
การศึกษาเพื่อผู้ถูกกดขี่ต้องไม่ใช่ทั้งลัทธิบ้าพูดคือพูดอย่างเดียวไม่ทำ
และไม่ใช่ลัทธิบ้าทำคือทำอย่างเดียวโดยขาดการไตร่ตรอง
การใช้การเสวนาแทนการสอนเพื่อกอบกู้ความเป็นมนุษย์ทุกคนจึงมีความเท่าเทียมกัน
มีความรักเป็นพื้นฐานของการเสวนา
การเสวนาจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความอ่อนน้อมถ่อมตน ไว้วางใจ
จะไม่มีคนรู้ไปหมดและไม่รู้ไปหมด
การเสวนาจะมีความหวังของการเติบโตต่อไป ครูจะไม่ต้องเตรียมบทเรียน
หรือเตรียมการสอนแต่ครูจะเตรียมเค้าโครงที่จะเสวนาซึ่งต้องตรงกับปัญหาของนักเรียน
ไม่มีการยัดเยียดความคิด โดยมีลักษณะของการส่งเสริมการเสวนาดังนี้
๑)ความร่วมมือ
๒)การรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายในการปลดปล่อย
๓)สร้างองค์กรประชาชนอย่างแท้จริง
๔)การสังเคราะห์วัฒนธรรม ไม่ยัดเยียดวัฒนธรรม
แล้วที่พวกเราสอนกันอยู่นี่ล่ะ กำลังเป็นเครื่องมือให้ผู้กดขี่
สร้างแบบฝึกสำหรับการกดขี่เพื่อให้ลูกศิษย์เราสยบยอมต่อสภาพการกดขี่อยู่หรือเปล่าว
?
ได้แง่คิดค่ะ
คิดอยู่ว่าทุกวันนี้ตัวเองอยู่ในข่ายกดขี่ให้ผู้เข้าอบรมยอมรับต่อสิ่งที่เราให้ไหม....ฮา
ขอบคุณคร๊าบบบบผม
แล้วจะเยี่ยมบ่อยๆ นะคะ
เพียงแค่ไม่ยอมเป็นครูธนาคาร ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ ขอบคุณที่สนใจนะ
ไม่เป็นแน่ ครูธนาคาร
แต่ธนาคารยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครู 55555 เพราะไม่กู้ ก็ ไปถอน รายการฝากไม่มี (ขำ ๆๆๆๆ นะครับ)
มีดิ น้องชาย ก็เขาฝากเงินเดือนเข้ามาให้เราไง เพียงแต่เราไม่ได้ฝากเอง เราเป็นคนถอน ส่วนมากพี่เห็นครูชอบถอนจากบัญชีโดยไปเข้าแถวหรือนั่งรอกันเยอะมากตอนสิ้นเดือน สงสัยจัง ทำไมคุณครูไม่ชอบทำ ATM
ไม่เห็นน่าสงสัยอะไรเลย เอทีเอ็มอ่ะพวกเราก็มีนะฮับ แต่เจ้าหนี้ ดอกร้อยละยี่ที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกัน เอ่อ ...ยึดไปหมดแล้ว ที่มาถอนนี่ถอนเศษจากเค้ากดน่ะเข้าใจ๋
คำถามง่าย ๆ นะครับ แล้วเราจะทำอย่างไร สอนอย่างไร วางตัวอย่างไรในขณะที่เราสอน ฯลฯ ครับ อาจารย์