คนจนขาดแคลนอะไรมากที่สุด


หากถามว่า คนจนขาดแคลนอะไรมากที่สุด ? ก็ขอตอบว่า ขาดแคลนโอกาสมากที่สุด โอกาสดังกล่าวก็คือ โอกาสที่จะได้รับบริการจากภาครัฐ หรือภาคส่วนต่าง ๆของสังคม

คนจนขาดแคลนอะไรมากที่สุด

สว่าง  ไชยสงค์


    หากถามว่า คนจนขาดแคลนอะไรมากที่สุด ?

    ก็ขอตอบว่า ขาดแคลนโอกาสมากที่สุด โอกาสดังกล่าวก็คือ โอกาสที่จะได้รับบริการจากภาครัฐ หรือภาคส่วนต่าง ๆของสังคม  เช่น โอกาสในการศึกษา โอกาสในการได้รับแจกสิ่งของ หรือแม้กระทั่งโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสำคัญ ตลอดจนโอกาสในการศึกษาพัฒนาตนเอง ซึ่งโอกาสเหล่านี้น่าจะเป็นโอกาสทองของทุกคนอย่างเสมอภาค แต่จะเป็นเช่นนั้นก็หาไม่ ซึ่งแตกต่างไปจากคนร่ำรวยอย่างสิ้นเชิง ที่โอกาสมักจะเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ และเป็นโอกาสที่งาม ๆ

     ความจริงแล้ว คนจนก็คือคน ที่มีชีวิตจิตใจและความรู้สึกนึกคิด แต่ดูเหมือนว่าใคร ๆ ก็รังเกียจเดียดฉันท์คนจน รุมดูถูกดูแคลน ทั้ง ๆ ที่คนจนมิใช่คนชั่ว แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้ ค่านิยมของผู้คนได้แปรเปลี่ยนไป โดยประเมินราคาหรือคุณค่าของคนจากโภคทรัพย์ที่เขามีอยู่ ถ้าใครมีโภคทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองนองเนือง เป็นเศรษฐีมหาศาล ผู้คนก็จะกรูกันมารุมล้อม ยกยอปอปั้นสรรเสริญศรัทธา นับถืออย่างเนืองแน่นจนชวนให้ประหลาดใจ ขอฝากเนื้อฝากตัว ขอพึ่งพาบารมีและอิทธิพล โดยไม่คำนึงถึงว่าเขาผู้นั้นมีคุณธรรมบ้างหรือไม่ ส่วนในกรณีของคนจน ถึงแม้จะเป็นผู้มีคุณธรรมโดยสมบูรณ์ แต่เหล่ามหาชนคนทั้งหลายก็มองเมินเพราะมืดบอดด้วยอวิชชา ซ้ำร้ายยังตราหน้าคนจนว่าเป็นชนชั้นต่ำ ชนชั้นปัญหา คนระดับฐานราก หนักไปกว่านั้นคือเรียกว่าคนระดับ “รากหญ้า”

    จริงอยู่ ที่คนจนขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ อดมื้อ กินมื้อ หาเช้ากินค่ำ เช่นนี้ คนจนจึงอยู่ในภาวะที่เหลื่อมล้ำ ลักลั่น เป็นคนละชั้นกันกับคนรวย ส่งผลให้เกิดการดูถูกดูแคลน เยาะเย้ยไยไพตามมาแทบทุกกรณี เช่น ถ้าคนจนไปนั่งยอง ๆ กินขนมจีนตามฟุทปาธบาทวิถี ในสายตาของคนทั่วไปก็จะซ้ำเติมว่า “สมน้ำหน้า อยากเกิดมาจน กินเช่นนั้นก็สมแล้ว” อะไรทำนองนี้ แต่ถ้าคนรวยไปกินเช่นนั้น คนทั่วไปก็จะยกย่อง ชื่นชมว่า “ดีนะ ท่านเป็นคนสมถะ รู้จักประหยัดกินประหยัดใช้ น่าสรรเสริญเยินยอยิ่งนัก” หรือถ้าคนจนใส่ทองหยองบ้าง ซึ่งเขาอาจจะหยิบยืมจากญาติมิตรมาใส่ คนทั่วไปก็จะบอกว่า “ใส่ของปลอมโดยแท้” แต่ถ้าคนรวยใส่ แม้ทองเส้นนั้นจะเป็นทองปลอม ทองชุบ คนทั่วไปก็จะบอกว่า “สมท่านเป็นคนรวย หรือมหาเศรษฐีจริง ๆ ทองหยองก็เต็มมือเต็มคอ” ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอวิชชาบังตาบังใจนั่นเองเมื่อคนจนกับคนรวยมีภาพลักษณ์ที่ตรงกันข้ามราวหน้ามือกับหลังมือดังที่กล่าวมาแล้ว คนรวยจึงเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยโอกาสที่จะเข้าถึงสิ่งที่ตนต้องการ ได้อย่าง่ายดาย โดยเอาเงินปูทางเข้าไปหา หรือซื้อหามาด้วยเงิน เพราะทุกวันนี้เงินคือพระเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่เป็นทาสของเงิน เพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ จึงเป็นบทเพลงที่เป็นอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล จากความที่ว่า “เงิน นะมีไหม....” คือถ้ามีเงินก็จะมีโอกาสทันที แทบจะอัตโนมัติเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “กิน กาม เกียรติ” แต่คนจนเล่า เมื่อเงินไม่มี โอกาสจึงไม่มา กลายเป็นผู้ที่อุดมไปด้วยวิกฤต เมื่อมาถึงตรงนี้ให้นึกถึงบทกวีบทหนึ่ง ของกวีนิรนาม ที่ว่า

               เมื่อมากมี มากมาย มิตรหมายมอง

           เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา

           เมื่อมากมาย มวลมิตร มุ่งมองมา

           เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมา ไม่มามอง

     เมื่อคนจนไม่มีทรัพย์ ก็ไม่มีอำนาจต่อรองเรื่องทั้งมวล คนทั่วไปจึงไม่เกรงใจ เขาจึงขาดโอกาสในสรรพสิ่งที่ควรจะได้รับ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม แม้สิทธิต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญจะมีให้อ่านอย่างสวยหรูและไพเราะเพราะพริ้งก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องในฝันที่เป็นคนละเรื่องกับสภาพความเป็นจริง ดังที่เห็นและเป็นอยู่
       จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด จึงขอฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า คนจนขาดแคลนโอกาสมากที่สุด !

หมายเลขบันทึก: 361434เขียนเมื่อ 26 พฤษภาคม 2010 07:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ทำไมเกิมาจนมากๆ อยากเรียน อยากทำอะไรก็ไม่ได้ น้อยใจจัง

ผมคิดดูดีฯจากที่เคียเหันมา ขาดทัศนคติที่ถูกต้องในกานใช้ชิด และ กานคิดบวก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท