ผมเคยเรียนอยู่ที่อเมริกา ๑ ปี เมื่อ ๓๙ ปีที่แล้ว เวลานี้วิถีชีวิตคนอเมริกันเปลี่ยนไปมาก รวมทั้งลูกสาวที่ผมมาเยี่ยมและอยู่ด้วยเขาโตในอเมริกาและอยู่ในอเมริกามาแล้ว ๑๔ ปี (อยู่เมืองไทย ๑๗ ปี) เขาจึงคุ้นกับวิถีชีวิตอเมริกัน รวมทั้งตอนนี้ฐานะดีขึ้น อยู่ในวงสังคมคนชั้นกลางสมัยใหม่ เป็นโอกาสให้ผมได้สังเกตและเรียนรู้จากเขา ผมชอบเรียนรู้จากลูก และลูกผม ๔ คนก็ ๔ แบบ เปิดโอกาสให้ผมได้เรียนรู้มาก ก่อนจะออกไปไหน ลูกสาวเขาจะเข้าอินเทอร์เน็ต หาว่าจะเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไร แล้วพริ้นท์เอกสารเอาไว้บอกทาง ขนาดทำอย่างนี้แล้วเมื่อวานตอนไป Museum of Fine Arts ยังหลงเสียหนึ่งรอบ
วันนี้ (๑๐ มิย.) เขาจะพาไปเที่ยวเมืองตากอากาศ ชื่อ Newport รัฐ Rhode Island ซึ่งอยู่ทางใต้ของบอสตัน เขาก็ศึกษาข้อมูลการเดินทางแบบเดียวกัน ก่อนออกเดินทาง เขาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม Citgo รถยนต์ BMW 528 ใช้น้ำมัน Super Premium ราคาแกลลอนละ 3.419 เหรียญ เติมทีหนึ่งก็ 30 - 35 เหรียญ เท่าๆ กับบ้านเรา ลูกสาวบอกว่าเวลานี้น้ำมันอเมริกันป็น แกสโซฮอล์ 10% รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เป็น แกสโซฮอล์ 80 ดังนั้นบริษัทผลิตแกสโซฮอล์จึงเปิดตัว IPO กันใหญ่ ลูกสาวเขาเรียน MBA โดยเน้นด้านการลงทุน (Investment Management) จุดสำคัญที่ลูกอยากพาไปเที่ยวนิวปอร์ตคือคฤหาสถ์ (Mansion) ใหญ่ๆ จำนวนหลายสิบหลังของเศรษฐีอเมริกันรุ่นร้อยกว่าปีก่อน เราตีตั๋วคนละ $15 เข้าไปดูคฤหาสถ์ ชื่อ The Breakers มีห้อง 70 ห้อง สร้างโดยตระกูล Vanderbilt ซึ่งรวยจากธุรกิจรถไฟ จากการควบรวมกิจการบริษัทรถไฟเล็กๆ กว่า 30 บริษัท เป็นบริษัทใหญ่ ทำรายได้ร่ำรวยร้อยล้านเหรียญ ตัวพ่อตายอายุ 56 ลูกชายดำเนินกิจการต่อเพียง 8 ปีก็ตาย โดยทำกำไรทำให้มีสมบัติของตระกูลถึง 200 ล้านเหรียญ ชั้นบนของอาคารเป็นห้องนอน ตัวอ่างอาบน้ำทำด้วยหินอ่อนทั้งแท่ง แต่ละห้องตกแต่งด้วยศิลปะต่างแบบ วัสดุต่างชนิด โดยศิลปินต่างคน บางห้องออกแบบก่อสร้างที่ปารีส แล้วแยกชิ้นส่วน เอาลงเรือส่งมาประกอบใหม่ที่นี่ ลวดลายศิลปะบางห้องเคลือบทอง 22 กะรัต ผมบอกตัวเองว่าคนรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็จะมีคนมาเสนอให้ทำโน่นทำนี่ รวมทั้งพวกสถาปนิกและศิลปิน ห้องเตรียมอาหาร ครัว สะท้อนภาพชีวิตในช่วงฤดูร้อน 2 เดือนที่ครอบครัวแวนเดอร์บิลท์มาสังสรรค์และรับแขกที่นี่ มีเจ้าหน้าที่ 40 คน มีระบบท่อลมร้อนมาอุ่นห้อง ไม่ใช้เตาผิงเพราะเกรงไฟไหม้ มีระบบโทรศัพท์ภายในอาคาร และสำหรับติดต่อภายนอก โดยเฉพาะนิวยอร์ก เป็นภาพของชีวิตเศรษฐีใหม่อเมริกันที่เอาอย่างชีวิตของพวกเจ้าในยุโรป แมนชั่น และชีวิตในแมนชั่นในช่วงร้อยปีก่อน เป็นชีวิตที่อวดรวยอวดรสนิยมกัน ไม่ใช่ชีวิตแนวพอเพียง แมนชั่นเหล่านี้เวลานี้กลายเป็นสมบัติสาธารณะ เป็คล้ายพิพิธภัณฑ์ให้คนมาเที่ยว และศึกษาชีวิตคนสมัยก่อนบ้าง ยกให้มหาวิทยาลัยมาใช้เป็นที่จัดหลักสูตรระยะสั้นบ้าง ตัวเมืองนิวปอร์ตในขณะนี้เป็นเมืองตากอากาศ อาคารเป็นอาคารไม้เล็กๆ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมสมัยเก่า ไม่มีอาคารสมัยใหม่ ไม่มีโรงแรมสูงสิบยี่สิบชั้นอย่างพัทยาหรือหัวหิน เขารักษาบรรยากาศเดิมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ที่เตะตาคือเขานิยมทาสีบ้านด้วยสีแจ๊ดๆ แต่ละหลังทาสีต่างกัน ที่ทาสีแดงแจ๊ดทั้งหลังก็มี ลูกสาวขับรถไปทางถนน Ocean Drive ดูบ้านเศรษฐีใหม่และวิวชายทะเล ผมได้มีโอกาสทดลองถ่ายรูปนกนางนวลกำลังร่อนลมมาฝากกันด้วย
คฤหาสถ์เศรษฐีใหม่ที่ถนน Ocean Drive
ลูกชายกับพ่อ ที่ด้านข้างแมนชั่น เดอะ เบรกเกอร์ส
แม่กับลูกทั้งสอง ที่ระเบียง The Breakers ด้านหันสู่ทะเล
The Breakers ด้านหันออกสู่ทะเล
ร้านค้าในเมือง Newport
ชายหาดอันงดงามและอากาศดี
นางนวลร่อนลม
นางนวลมารอรับแจก
โชคดีที่ฝนตกช่วงขาไปและขากลับ รวมทั้งตอนเข้าคิวรอชมแมนชั่น เดอะ เบรกเกอร์ส เทวดาเห็นใจจึงให้ฝนทิ้งช่วงให้เราชมวิวชายทะเลแดดจ้า การขับรถบน ไฮเวย์อเมริกันนี่หลงง่ายมาก ขนาดเตรียมตัวแล้ว มีลูกชายเป็นเนวิเกเตอร์ ก็ยังหลงหลายหน ดูเหมือนเขาจะออกแบบถนนแก้ปัญหาไว้แล้ว คือพอรู้ว่าหลงก็หาทางกลับไม่ยาก ตอนเย็นลูกชายแสดงฝีมือ อดีตผู้ช่วยเชฟ ทำอาหารให้กิน ฝีมือไม่เบา และผมได้ไปซื้อหนังสือที่ COOP ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตรง Harvard Square ได้มา 7 เล่ม หนำใจ
วิจารณ์ พานิช
11 มิย. 49
บอสตัน
ไม่มีความเห็น