บทที่ 4
บทวิเคราะห์อนุสัญญาการโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในทางการค้าระหว่างประเทศ
ตอน 3
1.5 วิเคราะห์ข้อพิจารณาว่าด้วยผลของการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีข้อจำกัดการโอน
หลักการที่เป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ คือ การกำหนดว่า คู่สัญญาในสัญญาเดิมไม่สามารถห้ามการโอนสิทธิเรียกร้องได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะเป็นการขัดขวางการไหลเวียนของการเงิน ซึ่งหลักการนี้นำมาจากสัญญาออตตาวา[1] บนพื้นฐานที่ว่าไม่ควรที่จะสร้างภาระให้กับผู้รับโอนที่จะต้องตรวจสอบเอกสารของสิทธิเรียกร้องแต่ละฉบับว่ามีการห้ามการโอนกันไว้หรือไม่ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้รับโอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโอนสิทธิเรียกร้องจำนวนมากหรือการโอนสิทธิเรียกร้องในอนาคต และขัดต่อหลักเศรษฐศาสตร์ที่ว่า การโอนได้อย่างอิสระจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อลูกหนี้มากกว่าการจำกัดว่าลูกหนี้จะต้องชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้เดิมเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการลดลง
อนุสัญญาฯ จึงได้กำหนดไว้ว่า ผลของการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีข้อจำกัดการโอน แม้มีข้อจำกัดการโอนในอนุสัญญาฯ อนุสัญญายังเปิดช่องให้โอนกันได้ในธุรกรรมบางประเภท
จากการศึกษาพบว่า ผลของการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีข้อจำกัดการโอน ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ โดยในอนุสัญญาได้กำหนดไว้ว่า อนุสัญญาย่อมไม่กระทบต่อข้อจำกัดการโอนที่ถูกกำหนดขึ้นโดยผลของกฎหมาย[2] แต่ถ้าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้ ย่อมสามารถโอนได้โดยสัญญาระหว่างกัน แม้จะมีข้อจำกัดการโอน หากเป็นข้อจำกัดการโอนที่ทำขึ้นโดยสัญญาระหว่างผู้โอนคนแรกหรือคนต่อ ๆ มากับลูกหนี้ หรือระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน
ข้อจำกัดการโอนตามสัญญาที่ว่านี้ย่อมไม่มีผลกระทบต่อการโอนในเวลา ต่อมา[3] ซึ่งลูกหนี้ตามสัญญาเดิมไม่อาจปฏิเสธการชำระหนี้ โดยอ้างเหตุว่ามีการละเมิดข้อตกลงเกี่ยวกับการจำกัดการโอนได้ แต่ทั้งนี้ ผู้โอนที่ฝ่าฝืนข้อตกลงจำกัดการโอนอาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการละเมิดข้อจำกัดการโอนนั้นต่อคู่สัญญาที่ตกลงให้มีข้อจำกัดการโอนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดการโอนดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความรับผิดแก่บุคคลที่สามผู้รู้ถึงข้อจำกัดการโอนนั้น[4]
อย่างไรก็ตาม ผลของการโอนที่ฝ่าฝืนข้อจำกัดการโอนดังกล่าวอันทำลูกหนี้ตามสัญญาเดิมไม่อาจปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ที่ว่านี้จะใช้เฉพาะการโอนสิทธิในหนี้เงินบางประเภทในกรณี ดังต่อไปนี้ เท่านั้น คือ
1) สิทธิเรียกร้องทางการเงินที่เกิดจากสัญญาเดิมซึ่งเป็นสัญญาสำหรับการส่งหรือเช่าซื้อสินค้าหรือบริการนอกเหนือจากบริการทางการเงิน สัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาสำหรับขายหรือเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอนุสัญญาได้มีบทบัญญัติอื่นทีมีส่วนเยียวยาลูกหนี้ในกรณีเกิดความเสียหาย ลูกหนี้ก็ฟ้องผู้รับโอนได้
2) สิทธิเรียกร้องทางการเงินที่เกิดจากเกิดจากสัญญาเดิมเพื่อการขาย เช่าซื้อ หรือใบอนุญาตข้อสนเทศของอุตสาหกรรม หรือทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ หรือข้อสนเทศเกี่ยวกับทรัพย์สิน
3) สิทธิเรียกร้องทางการเงินที่แสดงถึงการชำระหนี้ธุรกรรมบัตรสินเชื่อหรือ
4) สิทธิเรียกร้องทางการเงินที่เป็นหนี้ของผู้โอนในการชำระเงินเป็นสิทธิตามความตกลงเป็นสุทธิซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่าสองฝ่าย
ในขณะที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303 กำหนดว่า “สิทธิเรียกร้องนั้น ท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้ ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับหากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น การแสดงเจตนาเช่นว่านี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
เมื่อวิเคราะห์พิจารณาจากหลักการดังกล่าวแล้ว ตามหลักกฎหมายไทย ถ้ามีการตกลงห้ามโอนกันเอาไว้ก็ต้องเป็นไปตามนั้นก็คือ โอนกันไม่ได้ แต่จะนำเรื่องนั้นไปยันบุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้ ในประเด็นผลของการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีข้อจำกัดการโอนนี้ จึงเห็นได้อย่างชัดว่า หลักการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่คำนึงถึงหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนาและหลักสุจริตเป็นใหญ่ เพราะต้องการคุ้มครองลูกหนี้และบุคคลภายนอกผู้กระทำการสุจริต
แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการที่อนุสัญญาฯ ได้เปิดช่องให้ทำการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีข้อจำกัดในการโอนนั้นเป็นการ Overrule กฎหมายภายใน แม้ว่ากฎหมายไทยจะมีข้อกำหนดห้ามโอนหรือคู่สัญญาตกลงว่าห้ามโอนก็ตาม ซึ่งตามหลักกฎหมายไทย แล้วสิทธิเรียกร้องที่จะโอนกันไม่ได้ คือ สิทธิเรียกร้องที่สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่องให้โอนหรือ ขัดกับเจตนาของคู่กรณีได้ตกลงกันไว้ว่าห้ามโอน
ดังนั้น ย่อมเห็นได้ว่า หากกรณีคู่กรณีตกลงกันห้ามโอนนั้นถ้าเป็นหนี้ที่เกิดจากมูลสัญญาคู่กรณีสามารถตกลงกันไว้ในสัญญามาแต่ขณะทำสัญญาหรือมาตกลงเพิ่มเติมในภายหลังก็ได้ ส่วนหนี้ที่เกิดจากมูลหนี้อย่างอื่นต้องมีการตกลงกันภายหลังที่เกิดหนี้โดยสภาพ ถ้าคู่กรณีตกลงกันห้ามโอน แสดงว่า ต้องการผูกพันกับเจ้าหนี้คนนั้นโดยเฉพาะ ถ้าเจ้าหนี้ขืนโอนสิทธิเรียกร้องนั้นไปก็ไม่ทำให้ผู้รับโอนมีสิทธิที่จะบังคับเอากับลูกหนี้ได้
สิทธิเรียกร้องที่ถูกห้ามโอนโดยผลของกฎหมายส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทางแพ่ง เช่น ในเรื่องครอบครัว เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1447 สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน กรณีผิดสัญญาหมั้น หรือสิทธิในค่าอุปการะเลี้ยงดู[5]
ในขณะที่ประเภทของการโอนสิทธิเรียกร้องในอนุสัญญาฯ เป็นสิทธิเรียกร้องทางการเงินในทางการค้า ซึ่งมิใช่เรื่องทางแพ่ง ทำให้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องประเภททางการเงินที่เกิดจากการค้า เช่น การดำเนินธุรกิจแฟ็คเตอริ่งในการโอนหนี้การค้าให้แก่บริษัทแฟ็คเตอริ่งนั้น มีข้อที่ต้องพิจารณาว่า หากสัญญาที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ทำขึ้นนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนเอาไว้แล้วเจ้าหนี้ยังสามารถนำหนี้นั้นโอนแก่บริษัทแฟ็คเตอร์ได้หรือไม่ การประกอบธุรกิจแฟ็คเตอริ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ กฎหมายที่ใช้บังคับ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้อง การทำสัญญาแฟ็คเตอริ่งก็เช่นกัน หากสัญญาที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ทำนั้น ได้กำหนดข้อห้ามโอนเอาไว้ หากเจ้าหนี้ฝ่าฝืนนำสัญญานั้นมาทำสัญญาแฟ็คเตอริ่ง บริษัทแฟ็คเตอริ่งจะอ้างสิทธิในสัญญาต่อบุคคลภายนอกไม่ได้
ดังนั้น ก่อนที่จะเข้าทำสัญญากันเป็นหน้าที่ของบริษัทแฟ็คเตอริ่งที่ต้องทำการตรวจสอบเสมอว่าหนี้ที่จะโอนมายังบริษัทตนนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนหรือไม่ และหากหนี้ดังกล่าวนั้น มีข้อกำหนดห้ามโอนแล้ว บริษัทจะไม่สามารถอ้างได้ว่า ตนเป็นผู้สุจริตทำให้การโอนสิทธิเรียกร้องไม่เป็นผล กระบวนการนี้ถือเป็นอุปสรรคแก่การโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในการค้าอย่างมาก ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นผลให้ผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนมาใช้หมุนเวียนในการทำธุรกิจขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงทำให้ธุรกิจที่ผู้ประกอบการทำอยู่นั้นเกิดการชะลอตัวและขาดความน่าเชื่อถือจากบรรดาลูกหนี้ เนื่องจากหากลูกหนี้ทราบว่าเจ้าหนี้ต้องทำการโอนหนี้ทางการค้าให้แก่บริษัทแฟ็คเตอริ่ง อาจมองว่าเจ้าหนี้ไม่มีความน่าเชื่อถืออาจจะกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งทำให้ลูกหนี้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเจ้าหนี้ การที่มีข้อกำหนดห้ามโอนทำให้เป็นการปิดกั้นสิทธิของเจ้าหนี้ในการเข้าทำสัญญาแฟ็คเตอริ่ง
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เจ้าหนี้เข้าทำสัญญากับภาครัฐ ซึ่งสัญญาที่ทำกับภาครัฐโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีข้อกำหนดห้ามโอนเอาไว้ในสัญญา เมื่อผู้ประกอบการต้องการสภาพคล่องทางธุรกิจแล้ว จำเป็นที่จะต้องอาศัยเงินทุนเพื่อมาช่วยหมุนเวียนให้ธุรกิจเกิดสภาพคล่องแล้ว ผู้ประกอบการไม่สามารถนำสัญญาที่ทำกับภาครัฐมาเข้าทำสัญญา แฟ็คเตอริ่งได้ กล่าวคือ สัญญาที่ทำกับภาครัฐส่วนใหญ่มักจะกำหนดข้อห้ามโอนเอาไว้ เพราะเนื่องจากสัญญาที่เข้าทำกับภาครัฐส่วนใหญ่มักจะเป็นจำนวนเงินที่สูง ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องระมัดระวังในเรื่องสัญญาที่ทำ
เมื่อพิจารณาในหลักเกณฑ์ที่ไม่จำกัดสิทธิของเจ้าหนี้ในเรื่องนี้แล้ว หลักเกณฑ์ที่เปิดกว้างแก่เจ้าหนี้แม้จะมีข้อกำหนดห้ามโอน อนุสัญญาว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในทางการค้าระหว่างประเทศ ก็ได้วางหลักการโอนสิทธิเรียกร้องทางการค้ามีผลผูกพันกันได้ แม้ว่าจะมีข้อกำหนดห้ามโอนก็ตาม
หากพิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว หลักเกณฑ์นี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ เปิดกว้างและให้โอกาสแก่เจ้าหนี้ในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อมาเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจเกิดการขยายตัว และในขณะที่หลักเกณฑ์ดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อบรรดาเจ้าหนี้ในการไม่จำกัดสิทธิแล้ว หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ได้คุ้มครองลูกหนี้ด้วยเช่นกัน แม้ภายหลังปรากฏว่า การโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ๆ ไม่สมบูรณ์ หากลูกหนี้ชำระหนี้ไปโดยสุจริตแก่ผู้ซื้อบัญชีก็หลุดพ้นจากหนี้เป็นการคุ้มครองลูกหนี้ผู้สุจริต
หากมองในเรื่องของเสรีภาพในทางการค้าแล้ว จะเห็นว่า บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยังเป็นการจำกัดสิทธิของเจ้าหนี้ เป็นบทบัญญัติที่จำกัดเสรีภาพทางการค้า และในกรณีที่เจ้าหนี้เข้าทำสัญญากับภาครัฐแล้วสัญญาดังกล่าวนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนเอาไว้แล้วจะไม่สามารถนำสัญญาดังกล่าวที่ทำกับภาครัฐเข้าทำสัญญาแฟ็คเตอริ่งได้ เนื่องจากสัญญาส่วนใหญ่ที่เอกชนเข้าทำกับภาครัฐนั้นมักจะเป็นสัญญาที่เป็นจำนวนเงินค่อนข้างสูง หากผิดพลาดอาจก่อความเสียหายแก่ประเทศได้ จึงเป็นสิทธิของภาครัฐที่จะคุ้มครองและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับภาครัฐและประเทศชาติโดยรวม ในขณะที่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในการค้าระหว่างประเทศได้กล่าวถึงเรื่องในกรณีที่ภาครัฐเป็นลูกหนี้ แม้ว่าจะเป็นสัญญาที่รัฐทำกับเอกชน ก็สามารถทำข้อสงวนที่เป็นข้อจำกัดการโอนได้ โดยการกำหนดในสัญญาเดิมห้ามเจ้าหนี้โอนสิทธิเรียกร้องให้กับบุคคลอื่น เพราะสัญญาเหล่านี้เกี่ยวพันกับเงินของประชาชน ซึ่งรัฐจะต้องลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการชำระเงินที่อาจเกิดขึ้นได้จากการโอนสิทธิเรียกร้อง ดังนั้นหากจะเป็นการป้องกันความเสียหายในฐานะที่ภาครัฐเป็นลูกหนี้ภาครัฐจะต้องกำหนดตั้งแต่ต้นไม่ให้เจ้าหนี้มีการโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาของตนต่อไปได้
ดังนั้น หากประเทศไทยต้องเข้าเป็นภาคีแล้ว อาจต้องอนุวัติกฎหมายตามให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าประเทศไทยจะต้องเสียประโยชน์หรือได้รับประโยชน์มากกว่ากัน และหลักการดังกล่าวจะทำให้ผลในทางกฎหมายต่างกันมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าเห็นว่า ต่างกันมากในเชิงประโยชน์ได้เสีย ก็เป็นประเด็นที่น่าจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากประเทศไทยอยู่ในฐานะลูกหนี้มากกว่าที่จะอยู่ในฐานะผู้โอนหรือผู้รับโอน เพราะหลักกฎหมายนี้จะมุ่งคุ้มครองลูกหนี้มากกว่าฝ่ายไหน ๆ
[1]The Ottawa Convention เป็นอนุสัญญาฯ ที่ใช้บังคับกับสัญญาแฟ็คเตอริ่ง ซึ่งเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องประเภทหนึ่งเช่นกัน และมีความทับซ้อนกับอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ด้วย.
[2]อนุสัญญาว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในทางการค้าระหว่างประเทศ, ข้อ 8.3.
[3]อนุสัญญาว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องทางการเงินในทางการค้าระหว่างประเทศ, ข้อ 9.1.
[4]เรื่องเดียวกัน, ข้อ 9.2.
[5]ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, มาตรา 1598/41.
ไม่มีความเห็น