ผมชอบเมล์เรื่องนี้จัง "หมาขี้เรื้อน"


หมาขี้เรื้อน

มีอีเมล์ส่งต่อๆกันมาโดยส่งผ่านทางกลุ่มณรงค์ศักดิ์ดอตคอม จนมาถึงมือผม เมื่อเริ่้มอ่านแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่ออ่านจบแล้วก็รู้สึกชอบนะ ลองอ่านดูก่อนนะ

            ลูกชาย นักธุรกิจ ใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้น เป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่ แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้เมื่อบวชที่วัด ใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่ กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษาสูงมา จากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึง ใช้เวลานานเป็นแรมเดือน... แต่ก็ นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกันปัญหา ที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและ ชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำวันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึก เหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตนออก บิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลงเห็นที่วัดใช้ตะเกียง น้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จัก ใช้เทคโนโลยี่

           ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็น ก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชาครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะ ล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวร ล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้...ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูล สูงมีการศึกษาสูงกว่า ใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้าน ชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับ เข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวัน สึกด้วยใจจดจ่ออยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้ โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่งวันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอนการบริหารวัด ก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่างเห็น แล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้ง ให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คน อื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระ ใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่า นี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะ ทำงาน อย่างการซักจีวรเอง เป็นต้น ด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
 

            เย็นวันนั้นเป็นวันพระ 15 ค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะ หยิบข้อ เสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้ พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียนอ่าน จบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ เธอทั้ง หลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป-มาทั้งวันเดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นาน...เพราะมันคันแต่พวกเธอรู้ไหม...เจ้าหมาตัว นั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่าแต่ละที่ไม่ ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคันสถานที่เหล่านั้นช่าง สกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คันแต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้า หมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า...
             เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่ เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรค ของตัวมันเองนั่นต่างหากพูดจบ แล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็นแล้วขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของ พระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวายนึกอย่างไรก็มองเห็นตัว เองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดูยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่ วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจาก คนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลาย เป็นคนที่หันมา...จับผิดตัวเอง

             เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไป สืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก"อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อนขอ อยู่รักษาโรคจนกว่าจะ หายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสัก 1 พรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมือ อนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้ว ก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ?ถ้าเรายังเป็น "โรคอยู่ ในใจ" ไม่ว่า เราย้ายงานไปที่ไหน เราก็บ่นว่าสถานที่เหล่านั้น สกปรก สิ้นดี

                 ที่ชอบเพราะนึกถึงเรื่องของตัวเอง และนึกถึงเรื่องของเพื่อนฝูง ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเองตลอดมา  บางครั้งเราก็ร้อนทำงานแล้วไม่ชอบโน่น ไม่ชอบนี้ ไม่ชอบนาย ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบลูกน้อง ไม่ชอบระบบการทำงาน ไม่ชอบและไม่ถูกใจไปซะหมด บ่นโน่น บ่นนี่ เสนอแนะ ปรับการทำงานมากมาย อยากให้เป็นอย่างโน่นอย่างนี้ ได้บ้างไม่ได้บ้างตามเรื่องตามราว บางทีย้อนกลับมาคิด เอ๋หรือว่าเรากำลังเป็นโรคขี้เรื้อนอยู่ในใจหว่า ถึงเที่ยวไปโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นต้นเหตุทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข หรือจริงๆแล้วใจเราต่างหากที่เป็นทุกข์ เลยทำให้มองทุกสิ่งทุึกอย่างเป็นทุกข์ไปด้วย หากจริงอย่างนั้น เราก็พวกเดียวกับหมาขี้เรื้อนนี่เอง

                 ประเด็นต่อมา มองไปที่เพื่อนๆ หลายคนก็มีอาการเดียวกับเรา อยู่แล้วไม่สุข เจอกันก็ต้องเล่าต้องบ่นความทุกข์ในเรื่องต่างๆ ให้ฟังอย่างมากมาย ปัญหาส่วนใหญ่ก็คือปัญหานาย ซึ่งไม่สามารถทำงานเข้ากันได้ นายเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ ปัญหาลูกน้อง ทำงานไม่ได้ดังใจ ฯลฯ สารพัดสารพันปัญหา เอ๋ แล้วจริงๆ ปัญหาอยู่ที่ตัวเรา หรืออยู่ที่คนรอบข้างกันแน่ ถ้าปัญหาอยู่ที่ตัวเรา แสดงว่าเราซิป่วย มีโรคอยู่ในใจ จึงไม่เป็นสุข

                 แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรละ เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเรา มัวแต่ไปแก้ที่อื่น ก็เหมือนกับหมาขี้เรื้อน มัวแต่วิ่งหาที่อยู่ที่อยู่แล้วทำให้ตัวเองสบาย โดยหารู้ไม่ว่าที่ตัวไม่สบายนะเพราะขี้เรื้อนที่ตัวเองสะสมเอาไว้ แต่หากเรามัวคิดว่าเพราะตัวเราเป็นขี้เรื้อนพยายามที่จะรักษาตัวเอง แต่กลับไม่ใช่ปัญหาอยู่ที่สิ่งแวดล้อม อยู่ที่คนอื่น ให้เรารักษาตัวเราเท่าไหร่ก็คงไม่สำเร็จ  คงเคยเห็นหน่วยงานบางแห่งเปลี่ยนตัวผู้จัดการเป็นว่าเล่น กี่คน กี่คน ประธานฯก็ไม่เคยพอใจ ตำหนิโน่น ตินี่ ทำงานไม่ดีอย่างโน่นอย่างนี้ ติและบ่นอยู่ร่ำไป เราจะสรุปว่าผู้จัดการที่โดนเปลี่ยนไม่ดีก็คงไม่ได้ หรือตัวประธานเองนั่นแหละที่เป็นปัญหา

                 ก็เป็นธรรมะที่น่านำมาคิด แล้วใช่หลักบริหาร หลักวิชาการเขามาจัดการแก้ไข ซึ่งน่าจะช่วยให้ปัญหาผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะในหลักการในโลกมนุษย์นี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเป็นคนเก่งได้ทุกเรื่อง ดังนั้นในการทำงานจึงต้องมีบุคลากรที่มีตำแหน่งหน้าที่ มีความรับผิดชอบแตกต่างกันไป แบ่งกันทำตามความรับผิดชอบ มีการทำงานตามสายการบังคับบัญชา มีการร่วมกันทำงานเป็นทีม สอดคล้องประสานกัน มีจุดมุ่งหมายของการทำงานในแนวทางเดียวกัน และเมื่อมีปัญหาและความขัดแย้งก็มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม สร้างความพึงพอใจกับทุกฝ่าย พัฒนาและดึงศักยภาพของแต่ละบุคคลออกมาใช้ให้ได้สูงสุด

                ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองไม่ใช่หมาขี้เรื้อน ถ้าเป็นหมาขี้เรื้อนก็ต้องรักษา อย่าอยู่แบบหมาขี้เรื้อน


หมายเลขบันทึก: 358854เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2010 13:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท