กฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับคนเข้าเมือง
สิทธิในการเข้าเมืองของคนต่างด้าวภายใต้กฎหมายจารีตประเพณี[1]
จะต้องตระหนักว่า ในหลวงไม่กำหนดให้ต้องขออนุญาตเข้าเมืองไทย ดังนั้น การเข้าเมืองของคนต่างด้าวก่อนวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๐ >>>จึงเป็นการเข้าเมืองที่ชอบด้วยกฎหมายแม้ไม่มีเอกสารแสดงการให้อนุญาตเข้าเมืองของรัฐไทย
ตัวอย่างที่ ๑ กรณีนายฮั้ว คนสัญชาติจีน เข้าเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๓ (ดัดแปลงจากฎ.๑๕๓/๒๕๐๕[2])
ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นายฮั้วเป็นคนต่างด้าวได้เข้ามาในประเทศไทย โดยเรือเดินทะเลจากประเทศจีน เข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่ที่ตำบลแสนตุ้ง อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ในราวปี พ.ศ.๒๔๖๓
นายฮั้วถูกจับในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๒ โดยเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาว่า นายฮั้วเป็นคนต่างด้าวได้บังอาจเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้ผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน ทั้งที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้อง
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถามว่า
(๑) จะต้องใช้กฎหมายของประเทศใดในการกำหนดสิทธิในการเข้าเมืองไทยของนายฮั้ว เพราะเหตุใด
(๒) หากว่าจะต้องใช้กฎหมายไทย จะต้องนำเอากฎหมายไทยลักษณะใดหรือฉบับใดมาใช้ในการกำหนดสิทธิในการเข้าเมืองไทยของนายฮั้ว ? เพราะเหตุใด ?
(๓) โดยกฎหมายดังกล่าว นายฮั้วจะมีสถานะบุคคลเป็น “คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย” หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตัวอย่างที่ ๒ กรณีนายอำมาดาส คนสัญชาติอินเดียที่เข้าเมืองก่อน พ.ศ.๒๔๗๐ (ดัดแปลงมาจาก ฎ. ๑๖๕๑/๒๕๓๔[3])
นายอำมาดาสเป็นคนสัญชาติอังกฤษ เชื้อชาติซิกซ์(อินเดีย) ซึ่งเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมา
ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๗๐ กล่าวคือ ในช่วงเวลาระหว่างที่ประเทศไทยมีสนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างประเทศไทยและประเทศอังกฤษอันทำให้คนในบังคับอังกฤษจำนวนมากมายเข้าตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย
ใน พ.ศ.๒๔๗๑ นายอำมาดาสได้สมรสกับนางฮัดบัสซึ่งเกิดที่จังหวัดน่านจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษ เชื้อชาติซิกซ์(อินเดีย)
ภายหลังจากการประกาศเอกราชของประเทศอินเดียจากประเทศอังกฤษ นายอำมาดาสก็ยังคงยืนยันที่จะตั้งรกรากในประเทศไทย ไม่กลับไปอินเดีย นายอำมาดาสถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๘ จนถึงปัจจุบัน
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
(ก.) การเข้าเมืองไทยของนายอำมาดาสเป็นการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ? ถ้าชอบ กฎหมายใดเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิเข้าเมืองแก่นายอำมาดาส ? เพราะเหตุใด ?
(ข.) นายอำมาดาสมีลักษณะการเข้าเมืองแบบถาวรหรือไม่ถาวร ? เพราะเหตุใด ?
[1] เอกสารประกอบการสอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศประเทศคดีบุคคล: สิทธิเข้ามาในประเทศไทยของคนต่างด้าว โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร http://www.archanwell.org/autopage/show_all.php?t=23&s_id=&d_id ,วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2547
[2] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2505 อัยการจังหวัดตราด โจทก์ - นายฮ่วยเกี๊ยกหรือฮั้ว แซ่ลี้ จำเลย
พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 3
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อ พ.ศ. 2463 โดยมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 ปรากฏว่าพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองได้ประกาศในประเทศไทย เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2470 จำเลยเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อ พ.ศ. 2493 ซึ่งยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองในขณะนั้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน การเข้ามาในราชอาณาจักรไทยของจำเลยในปี พ.ศ. 2463 เป็นการเข้าได้โดยเสรี จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามฟ้อง
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า วันเดือนใดไม่ปรากฏในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จำเลยเป็นคนต่างด้าวได้บังอาจเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๑๕, ๒๑, ๕๘ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองได้ประกาศในประเทศไทย เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๗๐ จำเลยเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองในขณะนั้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน การเข้ามาในราชอาณาจักรไทยของจำเลยในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นการเข้าได้โดยเสรี จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายืน
( สนิท สุมาวงศ์ - สุทธิวาทนฤพุฒิ - สุทธิวาทนฤพุฒิ )
ศาลจังหวัดตราด - นายช่วง ไชยกุมาร
ศาลอุทธรณ์ - นายเรือง กาเล็ก
[3] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2534 นาง กีอันหรือเกียนหรือซัดนาม กอร์ ผู้ร้อง - พนักงานอัยการ กรมอัยการ ผู้คัดค้าน
พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 57
การพิสูจน์สัญชาติไทยนั้นกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นคนต่างด้าวจนกว่าผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 57
________________________________
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2473 โดยเป็นบุตรของนายอำมาดาส จำปีและนางฮัดบัส กอร์ จำปี ซึ่งบิดาผู้ร้องอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2470 ส่วนมารดาผู้ร้องเดิมมีสัญชาติไทย เกิดที่จังหวัดน่านผู้ร้องได้อยู่ในราชอาณาจักรไทยตลอดมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2491 ได้สมรสกับนายอาวตาร์ ซิงห์และเปลี่ยนชื่อจากกีอัน กอร์หรือเกียน กอร์ เป็นซัดนามกอร์หลังจากนั้นสามีผู้ร้องได้พาผู้ร้องไปอยู่ที่ประเทศพม่า เพื่อประกอบการค้า ต่อมา พ.ศ. 2508 ประเทศพม่าได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยม ผู้ร้องกับสามีจึงหลบหนีไปประเทศอินเดีย จนกระทั่ง พ.ศ. 2528 ผู้ร้องจึงเดินทางกลับประเทศไทย และมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2528ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจได้แจ้งว่าผู้ร้องเป็นคนต่างด้าว ให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ชั่วคราวและต้องออกไปภายใน 3 เดือน ผู้ร้องจึงขอพิสูจน์สัญชาติต่อทางราชการ ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 ทางการได้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องเป็นคนมีสัญชาติไทยตามกฎหมายไม่เคยสละสัญชาติไทยไม่เคยถูกรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนสัญชาติไม่เคยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และไม่เคยแปลงสัญชาติเป็นคนต่างด้าว ผู้ร้องมีสิทธิอยู่ในประเทศไทย การที่กรมตำรวจยกคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องผู้ร้องจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอพิสูจน์สัญชาติของผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยและมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่บุคคลเดียวกับเด็กหญิงกีอัน กอร์ ตามที่ปรากฎในสำเนาทะเบียนคนเกิดหากจะฟังว่าเป็นคนเดียวกันก็ปรากฎว่า เด็กหญิงกีอัน กอร์นั้นมีสัญชาติอังกฤษ เชื้อชาติซิกซ์ (อินเดีย) มิได้มีสัญชาติไทย ผู้ร้องมิใช่บุคคลมีสัญชาติไทย ผู้ร้องบรรลุนิติภาวะแล้วและได้ออกจากประเทศไทยไปอยู่ประเทศอินเดียอันเป็นประเทศสัญชาติของบิดาตั้งแต่ พ.ศ. 2508 จนถึง พ.ศ. 2528 รวมเป็นเวลา 20 ปี แล้วและตามหนังสือเดินทางก็ระบุว่าผู้ร้องได้สัญชาติของบิดาอันเป็นการฝักใฝ่อยู่ในสัญชาติของบิดาแล้วผู้ร้องจึงต้องถูกถอนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 17
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่านางกีอัน กอร์ผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยและมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "จึงเชื่อไม่ได้ว่า ผู้ร้องเป็นคนเดียวกันกับเด็กหญิงกีอัน กอร์ ตามทะเบียนคนเกิด เอกสารหมาย ร.1 และข้อเท็จจริงได้ความจากคำของผู้ร้องเองว่าอยู่ในประเทศไทยถึงอายุ 18 ปี จึงเดินทางไปประเทศพม่ากับสามีแต่ผู้ร้องก็ไม่มีหลักฐานการเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรมาแสดงและผู้ร้องเบิกความอีกว่าเมื่อประมาณ 4-5 ปี มาแล้วผู้ร้องเคยเดินทางกลับประเทศไทยแต่ก็ไม่ได้ขอพิสูจน์สัญชาติการขอพิสูจน์สัญชาติไทยนั้นกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นคนต่างด้าวจนกว่าผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติไทยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 57 ดังนั้นผู้ร้องจึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนมีสัญชาติไทย แต่พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมา ตามที่ได้วินิจฉัยข้างต้นนั้น ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าผู้ร้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย"
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
( อุดม เฟื่องฟุ้ง - ก้าน อันนานนท์ - อากาศ บำรุงชีพ )
ยังไม่เสร็จนะครับ จะแก้ไขเร็วๆนี้นะครับ