รอยต่อระหว่างภาระ….กับความรัก


จากสิ่งที่ฉันได้ยินทำให้เกิดความสงสัยลึกๆในใจว่า น้ำตาที่เอ่อล้นบนใบหน้าของป้าใจเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ หรือเป็นน้ำตาที่เกิดจากความอัดอั้นตันใจที่จะต้องเป็นรับภาระในการดูแลคนเพิ่มอีกหนึ่งคน ป้าใจจะทนกับสภาพนี้ได้หรือ แล้วถ้าป้าทนกับสภาพนี้ไม่ไหวจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้

ชื่อเรื่อง รอยต่อระหว่างภาระ….กับความรัก

ผู้เล่า นทพ.ดวงรัตน์ โอวัฒนาพานิช (ตาล) 

แก่นของเรื่อง 

เนื้อเรื่อง     

             ในวันแห่งการเริ่มต้นของการลงชุมชน  ฉันและเพื่อนๆนิสิตทันตแพทย์ทั้งหกคน ได้มาที่หมู่บ้านกกตาล อำเภอกุฉินารายณ์  จังหวัดกาฬสินธุ์ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้มาเรียนรู้ชุมชนโดยใช้เครื่องมือ 7 ชิ้น หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของชาวภูไท ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาและไร่อ้อย  ส่วนผู้หญิงและคนแก่ในบางครอบครัวแทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆก็จะมาทอผ้าหรือทำหมอน ในช่วงเช้าพวกเราได้เดินสำรวจชุมชนเพื่อทำแผนที่เดินดินและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนแห่งนี้  ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ฉันรู้สึกสะดุดตากับบ้านหลังหนึ่ง บ้านนี้มีเตียงคนไข้อยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนเตียงมีชายวัยกลางคน ผิวคล้ำ หน้าตาดูเฉยเมย  ไม่สนทนาพูคุยกับใคร    บนแคร่ที่อยู่ใกล้ๆกัน มีตาแก่และยายแก่กำลังนั่งกินข้าว  ฉันรู้สึกสนใจครอบครัวนี้และคิดว่าช่วงบ่ายจะมาพูดคุยเพื่อศึกษาชีวิตของพวกเค้า พอรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ฉันได้รับหน้าที่จากกลุ่มให้ไปสัมภาษณ์คุณสมจิต ประธานอสม.ของหมู่บ้าน หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ ฉันจึงถามคุณสมจิตเกี่ยวกับบ้านที่ฉันรู้สึกสนใจ คุณสมจิตได้เล่าว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นคือตาบุญและยายมี ส่วนคนป่วยเป็นลูกชายของแก ประสบอุบัติเหตุทำให้พิการ

                หลังเล่าเสร็จคุณสมจิตก็พาฉันมาแนะนำให้ครอบครัวนี้ได้รู้จัก เมื่อฉันทักทายคนในบ้านตาและยายก็รับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  ส่วนคนไข้ก็ยังคงมีสีหน้าเหมือนกับที่เห็นในตอนแรก ฉันนั่งคุยกับตาและยายอยู่ครู่หนึ่ง ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเนื่องจากยายพูดภาษาภูไท ซึ่งฉันก็อาศัยคุณสมจิตช่วยแปลให้ ฉันได้นั่งพูดคุยกับยายไปเขียนแผนผังเครือญาติไป รู้สึกว่าเป็นแผนผังที่ยาวมากเนื่องจากยายแกมีลูกตั้งสิบสามคน คนที่นอนอยู่ที่เตียงเป็นลูกคนที่ สิบเอ็ดของแก ชื่อเก้ง  ตอนนี้ตากับยายอายุแปดสิบกว่าแล้ว

              ตาเป็นโรคหอบหืดเหนื่อยง่ายเนื่องจากตอนหนุ่มๆสูบบุหรี่จัด ส่วนยายเป็นโรคเบาหวาน ระหว่างที่นั่งคุยกับยายได้สักพัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณสมจิตได้แนะนำให้ฉันรู้จักว่าคนนี้คือพี่สาวของคนไข้ ชื่อป้าใจ ป้าใจได้เข้ามาพูดคุยกับฉันแทนยายเพราะรู้ว่าฉันฟังยายไม่ค่อยออก ป้าแกเล่าว่า คนไข้เป็นน้องชายของแก สติไม่ค่อยดี คือจะพูดช้า คิดช้า ไม่ค่อยพูดคุยกับใครเลยไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อก่อนก็ช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา หาเงินมาได้ก็เอามาให้ยาย  แต่ปีที่แล้วเกิดอุบัติเหตุตกรถไถทำให้พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ป้าใจเลยต้องรับภาระดูแลทั้งตา ยาย และน้องชาย ป้าใจเล่าอีกว่าเมื่อก่อนแกทำงานที่โรงงานจักรยานที่กรุงเทพแต่พอเศรษฐกิจตกต่ำโรงงานจึงลดจำนวนคนงาน แกเลยย้ายกลับมาทำงานที่บ้านโดยเปิดร้านขายของอยู่ตรงข้ามกับบ้าน ซึ่งจากการสังเกตหมู่บ้านนี้ฉันรู้สึกว่าร้านแกเป็นร้านขายของที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านเลยทีเดียว แกได้รายได้จาการขายของเดือนละประมาณสามหมื่นบาท แต่ก็เอาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ารักษาทั้งตา ยายและน้องชาย เหลือเก็บไว้เป็นเงินสำรองอยู่บ้าง

                 ตอนนี้ป้าแกอายุห้าสิบแปดแล้วยังไม่ได้แต่งงาน เลยเป็นคนดูแลตากับยายและก็อยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้  หลังจากนั้นป้าใจก็พาฉันเดินดูบ้าน บ้านแกก็ดูสะอาดสะอ้านดี ฉันเดินดูแต่ชั้นล่างเพราะป้าแกบอกว่าชั้นบนไม่มีใครอยู่ ใช้เก็บของเฉยๆ ทุกคนในบ้านนอนด้วยกันที่ชั้นล่างนี้ พอถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมงฉันก็ออกมานั่งคุยกับยายที่หน้าบ้าน ส่วนป้าใจกับน้องชายแกอีกคนชื่อไก่ ที่เพิ่งขับจักรยานมาเยี่ยมน้องที่พิการ ก็มาช่วยกันยกคนไข้ไปอาบน้ำ ป้าบอกฉันว่าป้าเป็นคนอาบน้ำ  ป้อนข้าว ป้อนน้ำ สวนอุจจาระให้น้องชายทุกวัน โดยเวลาอาบน้ำก็จะมีน้องชายชื่อไก่นี่แหละมาช่วยยกเก้งลงจากเตียง ตอนนี้ป้าแกมีปัญหาปวดหลังมาก แต่ยังไงป้าก็ต้องทำอยู่ดีเพราะตากับยายก็แก่มากแล้ว ป้าบ่นให้ฉันฟังว่าวันๆ แกทำงานเหนื่อยมาก ไหนจะต้องดูแลร้าน ดูแลตายาย แล้วตอนนี้ยังมีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีก ฉันฟังไปก็ต้องให้กำลังใจแกไป แต่ก็รู้สึกว่าแกรับภาระหนักจริงๆ เพราะในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ก็จะมีคนมาซื้อของที่ร้านแกอยู่ตลอด แกก็ต้องวิ่งไปไปวิ่งมาระหว่างบ้านกับร้าน    

                พอถึงเวลาบ่ายสี่โมงได้เวลาที่ฉันต้องกลับไปที่โรงพยาบาลฉันจึงลาทุกคนและเดินทางกลับ พอฉันกลับมาก็ได้แลกเปลี่ยน เกี่ยวกับครอบครัวที่ได้ไปสัมภาษณ์ให้เพื่อนๆได้ฟัง และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้กลับไปที่บ้านนั้นอีกแต่ด้วยความบังเอิญฉันได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งร่วมกับนักศึกษากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยรังสิตที่มาเข้าค่ายร่วมกับทีมเยี่ยมบ้านของแผนกกายภาพ  พอฉันก้าวลงจากรถก็ต้องประหลาดใจที่เห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังนั่งสนทนาพูดคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านป้าใจ ดูเหมือนว่ามีการจัดงานอะไรบางอย่างกันที่นี่ ส่วนเตียงคนไข้ก็ยังอยู่ที่หน้าบ้านดังเดิม ลุงเก้งยังนอนอยู่บนเตียง โดยมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณเตียงแกอยู่ตลอด แต่ก็ไม่มีใครสนใจแกเพราะทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร พอฉันเดินเข้าไปในบ้านก็ได้รู้ว่าวันนี้เป็นงานแต่งของป้าใจ

               ฉันรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะป้าแกอายุก็ตั้งห้าสิบแปดแล้วจะไปแต่งงานกับใคร แล้วครอบครัวของแกจะอยู่กันยังไง ฉันพยายามมองหาป้าใจแต่ก็ไม่เจอ คิดในใจว่าป้าแกคงกำลังแต่งตัวอยู่ แต่แล้วป้าใจก็ปรากฏตัวขึ้นแต่ฉันก็ต้องตกใจอีกครั้งที่เห็นป้าใจอยู่ในสภาพเสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงขาสั้น หน้าตาเต็มไปด้วยเหงื่อไคล แทนที่จะเป็นชุดเจ้าสาวเหมือนเจ้าสาวคนอื่น แกเดินมาทักทายทีมงานเยี่ยมบ้านของพวกเรารวมทั้งชวนให้พวกเรากินข้าวเที่ยงที่แกเตรียมไว้เลี้ยงชาวบ้าน วันนั้นป้าใจยุ่งมากๆฉันจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับแกเท่าไหร่นัก ฉันได้เข้าไปแสดงความยินดีกับแกและถามแกว่าป้าแต่งงานกับใคร ป้าใจก็ไม่ยอมบอกฉันบอกแค่ว่าเป็นคนตำบลนี้แหละ พอถามถึงเจ้าบ่าวแกก็บอกว่าจะมาตอนสี่โมงเย็น ดูแกไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องนี้ ฉันเลยเปลี่ยนคำถามว่าแกแต่งงานแล้วจะไปอยู่ที่ไหน แกบอกว่าสามีแกจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านด้วย เพราะป้ายังต้องดูแลตากับยายและน้องชายอยู่ ขณะที่แกพูดกับฉันอยู่นั้นฉันก็สังเกตเห็นน้ำตาที่หางตาของแก จึงไม่อยากถามอะไรต่อ พอดีกับพี่ๆทีมงานก็ชวนฉันเข้าไปนั่งในวงอาหารที่แกจัดเตรียมให้ ฉันจึงเข้าไปนั่งร่วมกินอาหารกับทีมงานที่ไปด้วยกัน หลังจากกินเสร็จทีมงานก็ไปลาป้าใจและขอบคุณแกที่เลี้ยงข้าว

                  เราได้ไปเยี่ยมบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของคนพิการเช่นกัน  ฉันเข้าไปคุยกับภรรยาคนไข้และบังเอิญมากที่ภรรยาของคนไข้เป็นหลานสาวของป้าใจ พี่แกเล่าให้ฉันฟังว่าในครอบครัวไม่มีใครอยากให้ป้าแกแต่งงาน เพราะคนที่แกจะแต่งด้วยอายุตั้งเจ็ดสิบหกแล้ว แถมแกเพิ่งคบกับแฟนคนนี้มาแค่สองเดือน คนในบ้านยังไม่มีใครเคยเห็นหน้าสามีแกเลย แต่ป้าแกบอกคนในบ้านว่าป้าแกใฝ่ฝันอยากแต่งงานกับข้าราชการซึ่งสามีแกก็เป็นข้าราชการบำนาญ คนในบ้านเลยไม่มีใครกล้าขัด จากสิ่งที่ฉันได้ยินทำให้เกิดความสงสัยลึกๆในใจว่า น้ำตาที่เอ่อล้นบนใบหน้าของป้าใจเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ หรือเป็นน้ำตาที่เกิดจากความอัดอั้นตันใจที่จะต้องเป็นรับภาระในการดูแลคนเพิ่มอีกหนึ่งคน ป้าใจจะทนกับสภาพนี้ได้หรือ แล้วถ้าป้าทนกับสภาพนี้ไม่ไหวจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้

 

ผู้บันทึก  นทพ.ดวงรัตน์ โอวัฒนาพานิช (ตาล)       วันที่  21 มกราคม 2553

 

หมายเลขบันทึก: 355643เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2010 22:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 20:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

หวัดดีคับคุณตาล ผมป๋อคับผมแอบอ่านบทความแล้วก็เห็นใจป้าใจนะ แต่คนทุกคนก็ควรจาได้รับความสุขในชีวิตกัยบ้าง แม้เวลาจาเหลือน้อยก็ตาม หวังว่าสามีแกก็อาจเข้ามาแบ่งเบาอะไรๆได้บ้าง แม้อาจจาเป็นอะไรๆ ในใจป้าใจก็ยังดี 

สวัสดีครับ หมอเป็นหมอที่เก่ง นิสัยดี น่ารักมากนะครับ วันนี้ผมเจอที่ คลีนิคทำฟัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท