วันที่ ๒๐ เมษายน ที่ผ่านมา ผมต้องไปสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีท่ี ๓
จำนวน ๔๘ คน ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในรายวิชา ระบบวงจรวิวัฒน์แห่งชีวิต หัวข้อ
ภาวะใกล้ตาย ความตาย
และการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย
ผมเอาวัตถุประสงค์ที่ท่านอาจารย์มยุรี
วศินานุกร คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ ส่งมาให้เป็นแนว
มาเขียนเป็นวัตถุประสงค์การสอนของตนเองดังนี้
เมื่อเสร็จสิ้นการ เรียนการสอน นักศึกษาแพทย์สามารถ
๑.
อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสภาพจิตใจของมนุษย์ในภาวะใกล้ตายได้
๒. อธิบายเกณฑ์การวินิจฉัยการตายทางการแพทย์ได้
๓.
อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อมุมมองเกี่ยวกับภาวะใกล้ตายและความตายในมิติทางการ
แพทย์ สังคมและวัฒนธรรมได้
๔.
เปรียบเทียบและยอมรับความแตกต่างของมุมมองเกี่ยวกับภาวะใกล้ตายและความตาย
ของตนเองและผู้อื่นได้
๕. อธิบายหลักการของ palliative care การดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายได้
๖.
อธิบายการบูรณาการความรู้ทางการแพทย์และภูมิปัญญาทางสังคมวัฒนธรรมในการดูแล
คนไข้ระยะสุดท้ายได้
๗. นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตของตนเอง
และกับผู้ที่อยู่ในภาวะใกล้ตายและเสียชีวิตในสถานการณ์ต่างๆในอนาคตได้
เนื้อหาวิชา
๑. ชีวิตและความตาย
๒. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสภาพจิตใจของมนุษย์ในภาวะใกล้ตาย
๓. ประกาศแพทยสภาเรื่อง เกณฑ์กาารวินิจฉัยสมองตาย
๔.
ความแตกต่างและปัจจัยที่มีผลต่อมุมมองเกี่ยวกับภาวะใกล้ตายและความตายในมิติ
ทางการแพทย์ สังคมและวัฒนธรรม
๕. หลักการของ palliative care การดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย
๖.
การบูรณาการความรู้ทางการแพทย์และภูมิปัญญาทางสังคมวัฒนธรรมในการดูแลคนไข้
ระยะสุดท้าย
การ
จัดประสบการณ์การเรียนรู้
สถานที่
ผมขออาจารย์ไม่ใช้ห้องบรรยายแบบนั่งเรียงหน้ากระดาน เพราะชั่วโมงสอนช่วงบ่าย มาเจอเสียงบรรยาย..นุ่มคงที่..ของผม คงหลับยกชั้น อาจารย์เลยกรุณาเลือกห้องโถงใหญ่ในศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัย ให้นักศึกษาที่ไม่ต้องแต่งชุดนักศึกษา แล้วนั่งกับพื้นแทน
ก่อนชั่วโมงสอน
ผมแจกเอกสารประกอบการสอนเรื่อง ประกาศ แพทยสภาเรื่อง
เกณฑ์กาารวินิจฉัยสมองตาย ให้นักศึกษาอ่านก่อนเข้าห้อง
และบอกให้นักศึกษาทุกคนทบทวนความรู้สึก
ความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับความตาย เตรียมมานำเสนอให้กลุ่มย่อยฟัง
อาจเป็นการเล่าเรื่อง อ่านบทกวี
แสดงภาพถ่ายหรือสิ่งของที่เป็นสัญญลักษณ์ก็ได้
ในชั่วโมงสอน
ผมเกริ่นนำด้วยเรื่อง เหตุการณ์สวรรคตของพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อโยงให้เห็นมุมมองต่อความตายและภูมิปัญญาของคนโบราณเกี่ยวกับเรื่องนี้ สั้นๆ
แล้วแบ่งนักศึกษาเป็น ๔ กลุ่มโดยมีคณาจารย์จากม.วลัยลักษณ์
รวมทั้งท่านคณบดีเองนั่งอยู่ในกลุ่มด้วย
ตอนนี้ผมใช้กระบวนการสุนทรียสนทนา (dialogue) ซึ่ง อ.สกล
และทีมงานเคยไปปูพื้นฐานให้แล้วตั้งแต่ปี ๑ ให้ทุกคนนำเสนอความรู้สึก
ความคิดเห็นของตนเองต่อความตายให้กลุ่มฟัง ทีละคนจนครบทุกคน
นักศึกษาบางคนทำการบ้านมาดีมาก
เอารูปที่พิมพ์ออกมาแสดงให้เพื่อนดูประกอบการเล่า
บางคนเอาหนังสือสวดมนต์มาแสดง บางคนก็แต่งกลอนมาอ่านให้เพื่อนฟัง
หลังจากนั้นผมขอให้นักศึกษานั่งเป็นวงกลมใหญ่วงเดียว
แล้วให้สะท้อนสิ่งที่คุยกันในกลุ่มย่อย
ประเด็นหลักๆ สำหรับนักศึกษาที่ยังอยู่ในวัยรุ่น คือ รู้สึกว่าความตายดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว
ยังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลา ถ้าเพื่อนตายก่อนได้ก็จะดี ..เออแหนะ
แต่ก็มีนักศึกษาคนหนึ่งที่อ้างคำถามที่พระพุทธองค์ถามพระอานนท์ ที่ว่า
ควรคิดถึงความตายบ่อยแค่ไหน
เป็นไงครับ..เด็กสมัยนี้เยี่ยมจริงๆ
ความรู้สึกอารมณ์หลัก คือ ความพลัดพราก สูญเสีย ความเศร้า เสียใจ
ผมก็ถามว่า มีใครที่รู้สึกแตกต่างจากนี้หรือไม่
ก็มีเพื่อนพยักเพยิดกันให้คนหนึ่งพูด เขาบอกว่า มันขึ้นกับว่า
คนตายเป็นอย่างไร ถ้าเป็นญาติเราหรือคนที่เรารัก เราก็เสียใจ
แต่ถ้าเป็นคนชั่วตาย บางทีเราก็รู้สึกสะใจ
น้องเขาตอบถูกใจผมนัก โดยประโยคตั้งต้นที่ว่า
..มันขึ้นกับว่า... ดูดีมีสกุลมากเลย
ผมก็เลยยกตัวอย่าง ญาติคนไข้ที่ดูแลคนไข้อย่างดีจนเสียชีวิต
แล้วเกิดความรู้สึกโล่งใจ แอบดีใจลึกๆ
ซึ่งบางคนก็รู้สึกผิดกับความรู้สึกนั้นด้วยซ้ำให้ทั้งกลุ่มฟัง
เพื่อให้เห็นความแตกต่างของอารมณ์ที่หลากหลาย
ผมปิดท้ายด้วยคำสรุปที่ว่า ใครจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่อง ความตาย
เราคาดเดาไม่ได้ และไม่สามารถทึกทักหรือเหมารวมได้
ผมให้เวลากับการแลกเปลี่ยนทั้งกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่นี้นานมาก
รวมแล้วประมาณ ๑ ชั่วโมง
เพราะผมอยากให้นักศึกษาได้ลองพูดถึงเรื่องนี้กับแบบสบายๆ
ซึ่งก็ทำได้ดีมาก
หลังจากนั้นผมตัดมาบรรยายเดี่ยวในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสภาพจิตใจของมนุษย์ในภาวะใกล้ตาย
อันนี้ก็ว่าตาม Module: Last Hour of
Living ของ EPEC: Education for
Physicians on End-of-Life Care เป็นส่วนใหญ่
สอดแทรกเปรียบเทียบกับความเชื่อเรื่องความตายของคนโบราณเกี่ยวกับ
การดับของธาตุ ๔
ที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี โดยแตะเรื่อง
เกณฑ์การวินิจฉัยการตายทางการแพทย์
เปรียบเทียบกับของคนทั่วไปเป็นการปิดท้ายช่วงนี้ ใช้เวลารวม ๓๐
นาที
ผมต่อด้วยการให้นักศึกษานั่งดูวิดิทัศน์ความยาวประมาณ ๓๐ นาที เรื่อง
มรณานุสรณ์ สุภาภรณ์ พงศ์พฤกษ์
ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตและความตายของคนๆหนึ่งที่สามารถออกแบบได้
แล้วต่อด้วยการตั้งคำถามในวงใหญ่อีกครั้งเกี่ยวกับ ความตายที่พึงและไม่พึงปรารถนา อีกประมาณ ๓๐
นาที
ช่วงนี้น้องนักศึกษาแสดงความเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการตายอย่างสนุกสนานว่า
อยากตายแบบไหน ไม่อยากตายแบบไหน
เราได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ไม่ว่าอยากหรือไม่อยากอย่างไร
สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือ ตัวของเราเอง
การเตรียมตัวเตรียมใจของตนเองเมื่อถึงวันนั้น เพื่อจะโยงถึง
การมีชีวิตที่ดี ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถกำหนดได้
ต้องพึ่งพาคนอื่น เช่น
ครอบครัว หมอ พยาบาล หรือคนอื่นจัดให้
ซึ่งผมก็โยงมาถึงเรื่องที่ผมจะบรรยายต่อ คือ หลักการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย
ซึ่งผมใช้เวลาช่วงนี้อีก ๓๐ นาที
ปิดท้ายด้วยการตั้งคำถามที่ผมแอบตั้งเป้าในใจว่า
จะใช้คำถามของนักศึกษาช่วงนี้เป็นการประเมิน ปรากฏว่า
นักศึกษาช่วยกันตั้งคำถามกัน ไม่เงียบฉี่เหมือนการบรรยายหลายๆครั้ง
และคำถามแต่ละเรื่องก็น่าสนใจและเป็นคำถามดีๆด้วย เช่น
ประเด็นการบอกข่าวร้าย ความเหมาะสมของการุณฆาต เป็นต้น
หลังชั่วโมงสอน
ในการสอบผมจะประเมินนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย ข้อเขียนแบบบรรยาย ซึ่งน่าจะดีกว่าทำข้อสอบแบบตัวเลือกในเรื่องแบบนี้ และได้เขียนบันทึกแยกต่างหากที่นี่ เมื่อตรวจข้อสอบเสร็จแล้ว
อาจารย์มยุรีโทรศัพท์มาแจ้งว่า มีนักศึกษาคนหนึ่งอยากได้วิิดิทัศน์คุณสุภาภรณ์เอาไปให้ญาติซึ่งกำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายดู ผมไปหาก็พบว่ายังมีแผ่นจริงเก็บไว้อยู่ ก็รีบจัดส่งไปให้ เพราะคิดว่า น่าจะเกิดประโยชน์มากว่าแจกกระจายไปเรื่อยๆ
อรุณสวัสดิ์กับมรณานุสติ ยามเช้ากันเลยทีเดียวนะคะท่านอาจารย์หมอเต็ม
ได้อมยิ้มกับมุมคิดของวัยรุ่น อย่างนี้เพื่อนอาจมีสวนกลับไปว่า หากฉันตายก่อนจะมาหลอกเธอ ;) เหมือนในหนังเรื่อง คนกลาง ...
หากเป็นคู่รัก ต้องได้ยินประมาณว่า ผมไม่อยากลาโลกไปก่อนเพราะเกรงจะไม่มีใครดูแลคุณ อีกฝ่ายก็ ฉันอยากจากไปก่อนเพราะคงทำใจไม่ได้หากคุณจะจากไป ...
ไว้จะมาใหม่นะคะ ... หากแต่ก็ยังไม่อยากตายค่ะ เพราะโลกนี้ช่างมหัศจรรย์และรื่นรมย์อีกเยอะค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาฝึก มาเรียนรู้ด้วยคนค่ะ
เศร้าใจค่ะ บ้านเมืองไม่สงบสุขค่ะ
มีเรื่องน่ารักฝากให้อ่านค่ะ
สวัสดีครับ คุณหมอเต็มศักดิ์
ผมเห็นว่าเราควรเตรียมสภาพจิตใจ ชำระจิตอย่างเนืองๆ เพราะความตายอยู่กับเราตั้งแต่เราเกิด
ควรเจริญมรณานุสติเพื่อระลึกทบทวนถึงความตายของผู้อื่น และ ตนเองอย่างมีสติ ว่าเป็นการเกิด-ดับ ตามธรรมชาติ ของธาตุ ของขันธ์
บางท่านมีโอกาสดดีได้ระลึกรู้ถึงความตายอย่างช้าๆ ถ้าป่วย หรือ ชราแล้วตาย
แต่ในกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ อาจไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ เพราะมันเกิดเร็วมาก เช่น กรณีของพ่อผมที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
พอเห็นคนที่รู้จักตายแต่ไม่ใช่คนในครอบครัว ความรู้สึกผมมันจะรูสึกได้แค่ผิวๆ ไม่เสียใจมาก แต่ก็ได้เห็นว่าความตายเกิดได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา
แต่พอเวลาตอนพ่อตาย ความรู้สึกถึงการตายมันได้เข้ามาจับขั้วหัวใจ ทฤษฏีต่างที่เคยอ่าน เคยศึกษาจากหนังสือธรรมะแทบจะใช้การไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เคยผ่านมันมาด้วยใจของเราเอง เพราะเราไม่เคยเรียนรู้มันจากเหตุการณ์ของจริง ต้องใช้กำลังสติอย่างมากเพื่อจะยอมรับ และ เป็นกำลังใจให้ครอบครัว
ผมเลยมองว่าควรฝึกสภาพจิตอย่างเนืองๆครับ เพราะจะช่วยให้เรายอมรับความจริงอย่างมากเมื่อมันเกิดใกล้ตัวเรามากๆครับ...
ขอบพระคุณสำหรับบันทึกนี้อย่างมากครับ...
สวัสดีค่ะ คุณหมอ เต็มศักดิ์
เป็นการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์มากๆ ครับ
น่าเอาเป็นแบบอย่างครับ
ได้ทำการใคร่ครวญ (Reflection) และ พลังปัญญาระดับกลุ่มเลยครับ
นักศึกษาโชคดีมากครับ
อยากให้การเรียนการสอนแบบนี้มีในทุกสาขาวิชาเลยครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สำหรับ อาหารปัญญา นะครับ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านและรู้สึกเลยค่ะว่าน่าจะเป็นชั้นเรียนที่ไม่น่าเบื่อหรือน่ากลัว เหมือนหัวข้อการเรียน
ขอแอบจิ๊กเทคนิคน่าสนใจ เช่นการจัดที่นั่งอย่างผ่อนคลายไปใช้บ้างนะคะ
ขอบคุณค่ะ
(^___^)
สวัสดีค่ะ..อาจารย์หมอเต็มศักดิ์
เข้ามาดูแล้ว แอบถ่ายติดกลุ่มของหนูด้วย (กลุ่มที่อยากให้เพื่อนตายก่อนนั่นแหละค่ะ)
เดี๋ยวจะบอกเด็กๆ นศพ.ให้เข้ามาดูค่ะ
ดีใจนะคะที่วันนั้นได้มีโอกาสฟังอาจารย์บรรยายหัวข้อ palliative care
ถึงแม้ที่บ้านหนูจะไม่มีผู้ป่วยต้องดูแล
แต่ก็ทำให้หนูทราบวิธีการพูด การดูแล การให้กำลังใจผู้ป่วย ซึ่งเป็นใครก็ได้
หนูยังแอบเล่าเรื่องที่อาจารย์สอนให้เพื่อนหนูฟังเลยค่ะ...ด้วยเหตุผลที่เพื่อนถามว่า palliative care เนี๊ยะ ...เค้าทำอะไรกันหรอ???
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโอกาสหน้าอาจารย์จะมาให้ความรู้ดีๆ กับ นศพ.มวล. อีกนะคะ
สิริรักษ์
สวัสดีค่ะอาจารย์เต็มศักดิ์
ได้อ่านแล้วประทับใจจัง
และดีใจมากที่ได้เรียนกับอาจารย์นะค่ะ
และที่หนูชอบมากคือวิดีโอของคุณสุภาภรณ์อ่ะคะ
ทำให้มีกำลังใจสู้และเรียนต่อไป
เพระเทียบกับคนที่เค้าป่วย เค้ายังสู้ขนาดนั้น แล้วเราที่สุขภาพดีก้อควรสู้ไม่ถอยเหมือนกัน
และหวังว่าจะได้รับความรู้ดีดีจากอาจารย์อีกนะคะ
ขอบคุนค่ะคุณครู ^^
สวัสดีค่ะอาจารย์เต็มศักดิ์
หนูขอขอบคุณอาจารย์มากที่เสียสละเวลามาเพื่อให้ความรู้และเล่าประสบการณ์ดีๆ
หนูมีความรู้สึกว่า คนเราพร้อมที่จะตายได้เสมอ มันขึ้นกับเวรกรรมหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้
อนาคต หรือแสงตะวันของวันพรุ่งนี้ จะยังคงมีให้เห็นรึปล่าว
มันเหมือนเป็นเรื่องเศร้า แต่ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็คงไม่มีอะไรต้องเสียดาย ใช่มั้ยคะ
และจากการเรียนในรายวิชานี้ ได้ประโยชน์อย่างมากที่จะนำไปใช้ในการเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคตค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ เต็มศักดิ์
หนูเข้ามาดูว่าจมีประโยคของหนูบ้างรึเปล่า(ที่บอกว่าอยากให้เพื่อนตายก่อน)
ขอบคุณอาจารย์มากสำหรับการมาสอนครั้งนี้
ทำให้หนูได้เห็นมุมมองที่แตกต่างที่สามารถสร้างชีวิวตที่ดีได้
สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย และมีความเข้าใจในชีวิตมากขึ้น
และเห็ฯถึงน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
และหวังว่าอาจารย์คงจะมีโอกาสที่จะมาสอนพวกหนูอีกสักครั้งนะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สิริรักษ์
นศพ.กรัยพร
นศพ.ธนิฏฐา
สวัสดีค่ะอาจรย์
ชอบที่อาจารย์นำกระบวนการสอนที่นศ.มีส่วนร่วม
การนำสุนทรียสนทนามาใช้คงจะทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนและไม่รู้สึกเบื่อ
(เคยนำมาใช้ในกิจกรรมของผู้ป่วยก็ได้ผลดีค่ะ)
นศพ.นิลุบล
แอบมาดู lesson learned อีกรอบค่ะอาจารย์ ... เดี๋ยวนี้ครู อาจารย์ต้องเป็น facilitator > teacher ค่ะ ... จากปสก. แขวนชุดนิสิตไม่นาน อิ อิ การเรียนแบบนี้น่าค้นหา และจำได้แม่นกว่าค่ะ
เคยมีปสก. ช่วงที่ทำกิจกรรมกลุ่มระดมความเห็น ควรต้องส่งฟลิปชาร์ทหรือผลงานไปหน้าห้องก่อน เพราะถ้าไม่ถึงคิวกลุ่มเอง ก็มัวแต่จะแก้ ปรับ เตรียมนำเสนอ จนไม่ได้ตั้งใจฟังเพื่อน ขอบคุณค่ะ
... ปล. อ้ะ เจอกลุ่มคห. เด็ดที่โอนมรดกมรณาให้เพื่อนไปก่อนแล้ว ๕ ๕ ยังมาแสดงตัวเนาะ อิ อิ ;)
ควรต้องส่งฟลิปชาร์ทหรือผลงานไปหน้าห้องก่อน เพราะถ้าไม่ถึงคิวกลุ่มเอง ก็มัวแต่จะแก้ ปรับ เตรียมนำเสนอ จนไม่ได้ตั้งใจฟังเพื่อน
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ หรือไม่ก็ขอนำเสนอกลุ่มแรกซธเลย จะได้พ้นๆ แล้วตั้งใจฟังเพื่อนต่อ
น้องตัวจริงเสียงจริงเข้ามาเองเลยครับ คนนี้แหละ
สวัสดีค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าประเทศไทยมีความหวังขึู้้นมาทีเดียวค่ะ พอดีทำงานในรพ. รู้สึกว่าแพทย์ที่จบมารุ่นใหม่ๆสนใจผู้ป่วยลดลง สนใจเพียงเงิน มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรอกค่ะ ผู้ป่วยทั่วๆไปก็ไม่สนใจ เกี่ยงกันตรวจ มาทำงานสาย บ่ายหายหัวหมด ผู้ป่วยทำได้เพียงรอ ว่าเมื่อไหร่จะมีแพทย์มาเหลียวแล เจอแบบนี้ทุกรุ่นๆก็รู้สึกว่า ความเอื้ออาทรในเพื่อนมนุษย์มันหายไปไหนเสียหมดหนอ ทำไมแพทย์จึงเพิกเฉยต่อความเจ็บป่วยของเพื่อนมนุษย์ได้ขนาดนี้หนอ แต่พอได้เข้ามาอ่าน สิ่งที่อาจารย์เขียน รู้สึกว่า ต่อไปนี้ผู้ป่วยคนไทย จะมีความหวัง มีคุณหมอที่เอื้ออาทร ห่วงใย เห็นในคุณค่าของชีวิตคน มาช่วยดูแล ยิ่งได้มาเห็นน้องแพทย์ที่น่ารัก ตั้งใจขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญของผู้ป่วยค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์นะคะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ หนูดีใจมากเลยที่ได้เรียนกับอาจารย์
มันทำให้ได้รู้อีกในหลายแง่มุมเกี่ยวกับความตาย
ทำให้หนูมีกำลังใจที่จะตั้งใจเรียนต่อไป VDO ที่อาจารย์ได้ให้ดูนั้น
มันทำให้หนูรู้ว่าหนูยังมีชีวิตที่ดีกว่าอีกหลายๆคน
เพราะฉะนั้นหนูควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับโอกาสที่หนูได้มีร่างกายที่แข็งแรงและสมบูรณ์ \
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ
^________________^
Suparat
สวัสดีค่ะอาจารย์
วันนั้นหนูก้อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความตายไปว่า
ถึงแม้จะรู้ว่าความตาย เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกคน มันเป็นธรรมชาติ
แต่ก้อยังเก็บอารมณ์ ความรู้สึกกลัวไม่ได้ กลัวมากๆ
คิดว่า คงเป็นเรือ่งที่น่ากลัวมาก ตายไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน จะเจอผีมั้ย(เป็นคนกลัวผีมาก)
อารมณ์ก่อนตายคงกลัวมาก และอีกอย่าง
ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องจากเราไปกอ่น คงทำใจไม่ได้
แต่พอได้ดูวิดีโอของคุณสุภาภรณ์ ทำให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตก่อนความตายมากมาย
ได้มุมมองของคนที่เข้าใกล้ความตาย แบบเค้ารู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดกับเค้าในไม่ช้า
แต่เรือ่งนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเค้าแย่ลงเลย นับถือจริงๆค่ะ
และหนูก้อทิ้งท้ายไว้อีกนิดว่า
ถ้าจะตายจิงๆๆ ก่อนตายก้อขอไปเที่ยวก่อนนะคะ
ชอบเที่ยวมากมาย
ขอบคุนค่ะคุณครู ^^
สวัสดีค่ะ อาจารย์หมอ
วันนั้นหนูก็เล่าให้เพื่อนๆฟังว่า
ถ้าหนูต้องตายตอนนี้ หนูคงเสียใจมาก
เพราะยังไม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่อยากทำ
เช่น เรียนจบเป็นหมอ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่งงานมีครอบครัว ไปเที่ยวกับครอบครัว
หนูเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่กลัว และฉุกคิดถึงคนที่เขารักเรา เช่นแม่ พี่สาว คุณครูที่รักเรา เขาคงเสียใจมากกับการกระทำของเรา
หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลย
แต่ว่า ถ้า ต้องตายตอนแก่ๆ หนูก็คงทำใจได้ เพราะมันก็ถึงเวลา และหนูก็คงรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการใช้ชีวิตแล้ว
ทุกคนเกิดมาก็ต้องมาถึงวันนั้นเข้าสักวัน
หนูคงสงบและ ทำใจได้
นศพ.กรัยพร
นศพ.วิชชุตา แทนสุวรรณ
สวัสดีค่ะอาจารย์
เมื่อวานพอได้อ่านเฉลยของอาจารย์ทำให้หนูนึกถึงที่อาจารย์สอนและนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเจอ
เช่น คุณยายตอนท่านเสียตาไม่ปิด ก้อได้คำตอบว่าทำไม
คุณตาตอนท่านเสียก้อได้เห็นตอนท่านอยู่ในระยะ sphincter relax ซึ่งตอนนั้นก้อตกใจ แต่ตอนนี้ก้อรู้ว่าทำไม
ส่วนคุณทวด ก่อนเสียท่านก้อขอให้บรรดาลูกหลานเหลน ได้สวดมนต์ให้ฟัง เพราะบอกว่าอยากฟังคำพระ
ซึ่งพวกเราก้อร่วมกันสวดให้ท่านฟัง อย่างเต็มใจและทำใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ตอนนั้น ไม่มีสายใดๆอยู่ในตัวท่าน เพราะท่านขอไว้
หนูจึงคิดว่า ตอนนั้นพวกเราคงได้ใช้การ Palliative care อย่างไม่รู้ตัวรึป่าวค่ะ
ส่วนที่อาจารย์ตอบเรือ่งความอยากมา
สงสัยพอได้ทำงาน หนูคงเปลี่ยนความอยากเป็นความอยากนอน พักผ่อน เหมือนอาจารย์ว่าจิงๆ ^^
ขอบคุนค่ะคุณครู ^^
สวัสดีค่า...อาจารย์
วันนั้นหนูไม่คิดว่าหนูจะได้พูดออกไมค์ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...รู้สึกตื่นเต้นมาก หนูได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่า....
สำหรับตัวหนูเอง ถ้าจะถามถึงความตายนั้น..ความตายมันมีหลายแบบค่ะ ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุหรือตายด้วยโรค หนูคงกลัวกับความตายนั้น แต่ถ้าตายแบบสงบโดยที่ก่อนจะตายนั้นเราได้ทำอะไรที่เราคิดว่าดี มีความสุข อยากทำ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทำตามความฝันของเราแล้ว หรือทำทุกอย่างให้คนที่เรารักและคนที่รักเราเขามีความสุข ให้เขาไม่ต้องห่วงว่าเราจะเป็นยังไงต่อไป หนูก็ไม่กลัวกับการตายแบบนี้เลย...ถึงตายก็ยอม
และหนูก็มีกลอนเกี่ยวกับความตายให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน.....(สงสัยเพื่อน ๆ คงชอบเลยให้หนูพูดออกไมค์ค่ะ^^)
"เรื่องความตายอยูู่ที่ไหนหนีไม่พ้น
ต่ออยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสุโข
หรืออยู่กลางใต้สุดสมุทรโธ
ยังถูกโซ่ความหายลากกายมา
อยู่หุบเขาพงไพรยังไม่วาย
เจ้าความตายยังตามมาถามหา
รู้อย่างนี้ยังไม่คิดอนิจจา
เอาเวลาสร้างกรรมกันทำไม"
หลังจากที่หนูพูดจบ อาจารย์ก็ชมด้วยว่า"ดีมาก...ทั้งหมดก็คือที่อาจารย์จะสรุปให้ฟังในวันนี้"หนูถึงกับอึ้งไปเลย แต่ก็ภูมิใจตัวเองค่ะที่พูดแล้วมีคนชมด้วย อิอิ!! ขอบคุณอาจารย์มาก ๆ นะค่ะที่ทำให้หนูได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่หนูเคยคิดเหมือนกันนะค่ะว่า "หนูอยากลองตายดูสักครั้งว่ามันเป็นยังไง"อยากลองดูว่าเราจะได้ไปอยู่ที่ไหนกัน อยากรู้ว่าถ้าหนูสามารถเดินทะลุกำแพง สามารถหายตัวไปที่ไหนก็ได้ที่อยากไป(เหมือนในหนัง) อยากทำอะไรตามใจชอบแล้วได้ทำแล้วมันจะเป็นยังไง มันน่าสนุกนะค่ะ แล้วถ้าตื่นขึ้นมาแล้วชีวิตหนูจะเปลี่ยนไปมั๊ย?อยากลองดูสักครั้ง...อาจารย์คิดว่ามันตลกมั๊ยค่ะ?อิอิ^^
จุฑามาศ
ขอบคุณค่ะ...อาจารย์
อยากให้อาจารย์ช่วยแปลให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ?หนูแปลแล้วมัน งงๆ ค่ะ...แล้วที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์หยอกเล่นนี่หมายความว่าไงค่ะ?หนูมีความคิดเหมือนเด็กรึเปล่าค่ะเนี่ย??
ว้าวววว..ได้มาพบ resource ในการจัดเรียนการสอน Palliative care อย่างดีเลยคะอาจารย์
ตอนจะจัดชั่วโมงให้ปี 4 ก็ปวดหัวคะว่าจะสอนอะไร แต่อาจารย์สอนปี 3 ได้เลย
เปิดดูเกณฑ์แพทยสภา นั้นมี เรื่อง diagnostic of death กับ Ethic in end of life แต่ส่วน Palliative แท้ๆ ยังไม่ชัด
พอมาดูจุดประสงค์ที่อาจารย์สอนก็เกิด idea ขึ้นมากคะ
ปล.ขอบคุณมากคะสำหรับบทความของอาจารย์
จุฑามาศ
ขอบคุณค่ะ...อาจารย์
แสดงว่าหนูเป็นเด็กอายุ 2-7 ขวบใช่มั๊ยค่ะเนี่ย?
อาจารย์รู้มั๊ยค่ะว่าทุกวันหนูคิดแต่ว่า....ทำไมหนูถึงไม่ถามความรู้สึกคุณยาย มันฝังหัวหนูไปแล้วนะค่ะเนี่ย!!อิอิ
จุฑามาศ
ทราบว่ามีหลักสูครการเตรียมตัวตาย ไม่แน่ใจของพระไพศาลหรือของแพทย์แผนปัจจุบันคะ
สนใจเพราะไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อนค่ะ
เข้ามาอ่าน ได้ความเข้าใจชีวิตดีขึ้นค่ะ
การดูร่างกายเป็นธาตุ 4 ดูไม่ค่อยเห็นค่ะนอกจากคิดๆเอา