18 เมษายน 2553 - 00:00
จิตว่าง
จิตเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมากในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ผู้ปฏิบัติต่างก็มีความมุ่งหวังที่จะฝึกอบรมจิตให้มีคุณสมบัติทางจิตในระดับสมาธิจิต อันเป็นสภาวะธรรมที่อยู่นอกเหนือสภาวะทางกาย ผู้ปฏิบัติที่เข้าใจถึงแก่นแท้ของการปฏิบัติย่อมทราบดีว่าจะอบรมจิตของเราไปเพื่ออะไร และอบรมไปเพื่อให้จิตได้อะไร
จิตที่ได้ผ่านการอบรมพัฒนาแล้วจะมีอาการทางจิตที่เหมือนๆ กันคือ เป็นอิสระจากความคิดอันหลากหลาย ภาวะที่จิตอยู่กับความคิดน้อยที่สุดหรืออยู่กับความคิดเพียงหนึ่งเดียวนี้เองที่เราเรียกว่า "สมาธิ"
สมาธิก็คือการที่จิตกลับสู่ความเดิมแท้แห่งจิต อาการเดิมแท้ของจิตจึงเป็นภาวะที่อยู่เหนืออาการปรุงแต่งทางจิต อันเป็นอาการของความว่าง ปราศจากความคิด เพราะความคิดอันหลากหลายล้วนเป็นผลผลิตของมายาการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจากความหลง และอวิชชาของจิตที่สร้างความคิดอันหลงผิดเหล่านั้นขึ้นมาเอง จิตสร้างเองและหลงติดในความคิดเหล่านั้นจึงหาทางออกมาจากมิติแห่งความคิดที่จิตตนเองสร้างขึ้นมาไม่ได้
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเกิดจากการหลง และอวิชชาที่เกิดขึ้นภายในจิตที่สร้างมิติแห่งความหลง อวิชชาเหล่านั้นได้ทำให้จิตเกิดความหลง คิดเป็นจริงเป็นจังในมายาสมมติที่จิตสร้างและปรุงแต่งขึ้นมา จิตเมื่อยึดที่ไหนปรุงที่ไหนย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาที่นั่น จิตจึงเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดความฝันอยู่เช่นนั้น หาทางที่หลุดพ้นออกไปไม่ได้จนกว่าจิตดวงนั้นจะพบความจริงและถอดรหัสแห่งความคิดความฝันนี้ออกไปได้ การเวียน ว่าย ตาย เกิดจึงจะจบสิ้นลง
การที่ผู้ปฏิบัติต้องให้เครื่องรู้แก่จิตก็เพื่อเป็นอุบายแก่จิตในการหลอกล่อจิตออกมาจากดงแห่งความคิดอันหลากหลายมาสู่อุบายกรรมฐานที่เรากำหนดให้ เพื่อที่จิตจะได้มีเครื่องรู้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่นำเอาความคิดอันมากมายและหลากหลายมาเป็นอารมณ์แก่จิต
เมื่อจิตมีสิ่งที่รู้อยู่เพียงสิ่งเดียวแล้ว จิตจะเริ่มพรากตัวออกมาจากดงแห่งความคิดอันหลากหลายเหล่านั้น เกิดเป็นสภาวะแห่งสมาธิจิต เมื่อจิตอันเป็นตัวรู้และเป็นตัวต้นเรื่องแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เริ่มที่จะตื่นจากมิติแห่งความฝัน ภาพฝันอันเป็นภาพมายาที่จิตสร้างขึ้นมาก็จะเริ่มจางหายไป เหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น ร่างกายตัวตนก็พลันหายไป ความคิดอันเป็นมายาทั้งหลายก็หายหมดไป จิตจึงกลับสู่ความเดิมแท้อันมีความสะอาดบริสุทธิ์ มีปีติ มีความสุข ปรากฏอยู่ตลอดเวลา จิตเดินทางเข้าถึงความว่างแห่งจิตอันเป็นจุดเริ่มแห่งการเดินทางทางจิตครั้งสำคัญ
จิตแม้จะเข้าถึงความว่างได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตดวงนั้นได้สำเร็จพระนิพพานแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากจิตที่เดินทางเข้าสู่ความเป็นจิตเดิมแท้จะมีแต่อาการว่าง แต่เป็นอาการว่างที่ขาดภูมิปัญญา จิตที่ขาดซึ่งภูมิปัญญานั้นย่อมไม่อาจเอาชนะมายากิเลสทั้งหลายได้ อีกทั้งไม่มีภูมิปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง มีแต่อาการของจิตที่ว่างเท่านั้น จิตในลักษณะนี้จึงไม่อาจหลุดพ้นออกไปจากมิติแห่งความคิดได้
จิตเมื่อได้รับการอบรมดีแล้วจะเริ่มมีอาการปล่อยวาง ปล่อยวางจากสิ่งอันเป็นอวิชชาความหลงที่แฝงตัวอยู่ในจิตนั้นเอง ในภาวะปกติแล้วจิตที่ไม่ได้รับการอบรมจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นอวิชชาความหลงเหล่านั้นเลย เพราะจิตที่ขาดการอบรมจิตจะตกอยู่ในอำนาจแห่งความคิดโดยที่ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นคืออะไร จิตจะเสพความคิดเป็นอารมณ์จิตอยู่ตลอดเวลา และเชื่อว่ามายาสมมติเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง เป็นความจริง ยึดมั่นถือมั่นเรื่องราวเหล่านั้นว่าเป็นจริงเป็นจัง
จิตเดิมแท้จึงเป็นจิตที่มีความว่างเป็นอารมณ์จิต ความว่างที่กล่าวถึงคือความว่างที่เกิดจากการอบรมจิตจนกระทั่งมีพลังออกจากความคิดได้ แต่ยังคงมีจิตอยู่ เป็นจิตที่ปราศจากความคิด หากพิจารณาแล้วจิตในลักษณะนี้อาจเกิดมีอาการของความคิดเกิดขึ้นมาในจิตเมื่อไรก็ได้ เมื่อเกิดมีความคิดจิตที่เคยว่างก็จะไม่ว่างอีกต่อไป
เมื่อจิตสามารถออกจากความคิดได้แล้วก็จะมาถึงกระบวนการอบรมจิตขั้นสุดท้าย นั่นคือการถอดรหัสของความคิดออกจากจิตจนหมดสิ้น จิตที่สามารถเท่าทันความคิดที่เกิดขึ้นภายในจิตได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้นที่จะสามารถถอดอุปาทานว่ามีจิตอยู่นั้นลงได้ ในที่สุดภูมิปัญญาอันสูงสุดก็จะบังเกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติ คือจิตผู้รู้ผู้สะสมดวงนี้จะหายไป ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่ ทำให้จิตนั้นหมดไป หรือ "ว่างจิต" เมื่อจิตไม่มีตัวตนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาวิธีการเอาความคิดออกจากจิตอีกต่อไป จิตเมื่อหมดไปความคิดย่อมไม่มี เช่นนั้นแล้ว "จิตว่าง" จึงไม่เท่ากับ "ว่างจิต" นั่นเอง.
จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 18 เมษายน พศ.2553
ไม่มีความเห็น