ด้วยเมื่อวานเราไม่สามารถเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสท์ เราตกลงเสีย 160 US ซื้อเที่ยวบิน Mount Flight กลุ่มเราตกลงไปประมาณ 14 คน เทียวบินเวลา 6.30 พวกเราต้องเดินไปสนามบินเวลา 6.00 น. ตืนตีห้าอีกวันแล้ว (ไม่ได้พักเลยตั้งแต่มา)
ไปถึงสนามบิน รับ Boarding pass เที่ยวที่ 300 ไม่ระบุเวลา ต้องรอเรียก ระหว่างรอเราก็ตามชาวนาปาลีว่าเค้าไปใหน เค้าบอกมาบิน Mountain Flight เหมือนกัน แต่เค้าซื้อตั่วจากเอเจนซี่เพื่อเพียง 1780 รูปี (900 กว่าบาท แต่พวกเราเสีย 5000 บาท) แถมไม่ม่เวลาด้วย กว่าจะได้ขึ้นเครื่องเกือบ 7.30 กว่า
มีฝรั่งชาว (แถวรัสเซีย) ไปด้วยหนึ่งคน นอกนั้นเป็นพวกเรากันหมด เรากับพี่ก้อยเรียบเดินเพื่อจะนั้งด้านหน้า โชคร้าย Boarding pass มีเลขที่นั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ได้ที่นั่งหลัง ๆ อีก แล้ว ปล่อยไป ไม่ต้องคิดมาก
ใช้เวลา บินประมาณ 15 - 20 นาที ก็เห็นเทีือกเขาหิมาลัย แถวด้านซ้ายของเครื่องบินจะเห็นเทึอกเขาหิมาลัยก่อน เจ้าหน้าที่เดินมาอธิบายว่าตอนนี้อยู่หรือถึงยอดใหน พร้อมแผนที่คร่าว ๆ ของยอดหิมาลัย ขณะเดียวกันผู้ที่นั่งด้านขวามือจะเดินไปด้านหน้านักบินก็จะขี้ให้ดู ดูกันคนละ 1-3 นาที ใครดูนานเจ้าหน้าที่ก็จะมาตามให้เปลี่ยน
5000 บาทหมดไป ก็ได้ความประทับไว้ในใจ กลับถึงโรงแรมประมาณ 9.15 น. รับประทานอาหารเช้าของ Everest Hotel วันนี้มีใข่ดาว และ ใข่เจียว แต่โต๊ะอาหารดูเลอะไปหมด เก็บไม่ทัน
วันนี้เราไปเที่ยวเมืองกัฐมัณฑุ เที่ยวพระราชวัง และ เข้าเฝ้ากุมารี
ทัวร์เริ่มด้วยปล่อยเราที่ใหนไม่รู้ ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาทีเพื่อไปพระวังกัฐมัณฑุ ตามข้อมูลในโปรแกรมท่องเทียวบอกเป็นอาคารทรงยุโรป 9 ชั้น (ตอนนี้นึกไม่ออกว่าเราไปดูเมื่อไหร่) แต่จำได้ว่าเราเข้าไปหอตำหนักกุมารี ไกด์เล่าให้ฟังว่าสักครู่กุมารีจะออกมาให้เฝ้า เราแสดงความเคารพ โดยพนมมือและกล่าวคำว่า นมัสเต เด็กหญิงที่เราเห็นมีการแต่งหน้าวาดดวงตา ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ เมื่อได้เฝ้าแล้วเจ้าหน้าและไกด์ขอให้พวกเราช่วยบริจาค เพื่อการท่องเที่ยว (อีกเรื่องที่ลืมบอก คือ เค้าห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด มีเจ้าหน้าที่และผู้ใหญ่ที่อยู่ขั้นบนดูแล
วันนี้สถานที่ท่องเที่ยวดูวุ่นวาย มีทั้งรถจักรยาน และ รถส่วนบุคคล เดินต้องระวัง ระหว่างทางที่เดินไปดูวัด (จำไม่ได้เหมือนกันวัดอะไร) แต่ผ่านรูปปั้นหรือภาพสลักหินเป็นรูปของพระศิวะ (ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นที่ให้สารภาพบาป) มีคนนำสิ่งของมาปูชา ปัจจุบันจะเป็นการบูชาขอพรแทนการสารภาพบาป
ถัดมาเป็นวัด อยู่ระหว่างปิดซ่อม ไม่แน่ใจว่าใช่วัดเทพตาเลจูหรือไม่
จากนั้นเรามาชมศาลาข้าง ๆ ทางเข้าพระราชวังโบราณหนุมานโดการ์ รอบ ๆ จะมีสลักภาษาต่าง ๆ 15 ภาษา เพื่อแสดงว่ากษัตริย์องหนึ่งสามารถพูดได้ถึง 15 ภาษา พวกเราดูภาษาอยู่ น่าจะเหมือนภาษาสมัยสุโขทัยมากกว่า
ณ จุดนี้มีรายละเอียดพอควร อ่านจากโปรแกรมท่องเทียวดูเหมือนจะจำไม่ได้ว่าไดู้ดูอะไรบ้าง
วันนี้อาหารกลางวันเป็นอาหารจีนอีกแล้ว ไข่เจียวมีการผัดผสมกับต้นห้อมและผักอะไรอีกอย่างหนึ่ง มีปลาซุปแป้งทอด และลาดน้ำเหนี่ยว ๆ คล้ายปลาสามรส
บ่ายเที่ยวเจดีย์พุทธนาท สวยมาก องค์ใหญ่ (ตอนนี้จำรายละเอียดไ่ม่ค่อยได้ เพราะเริ่มหมดแรง และอากาศร้อนมาก ๆ
สุดท้ายของวันนี้คือวัดฮินดูชื่อว่า ปศุฎินาถ หรือ ปศุปตินาถมันตร์ สร้างในรัชสมัยพระเจ้าภูบาลสิงค์ ราชวงค์มัลละ ในปี 2507 (ไม่แ่น่ใจข้อมูลในโปรแกรมท่องเที่ยวถูกหรือไม่) วัดนี้มีหลังคาทองซ้อนสองชั้น มีศาลารายเรียงที่กษัตริย์สร้างขึ้น สถาปัตยกรรมดูเรียงรายสวยงาน ภายในศาลาเป็นรูปศิวิลึ่งค์ ในวันนี้บางจุดเป็นที่อาศัยของฤษี มีหลายตนที่เดี่ยว ปัจจุบันฤษีอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค (ไม่เรียกว่าเป็นขอทาน) สภาพของฤษีก็มีแต่งกายแบบต่าง ๆ กัน แต่ส่วนบนจะเปลื่อยกาย ผมเผ้ารุงรัง
วัดนี้สร้างอยู่ระหว่างแม่น้ำบักมาติ และเป็นวัดที่มีพิธิกรรมฌาปนกิจของชาวฮินดู ช่วงที่เราไปมีหลายศพอยู่ระหว่างเผา และหลายศพเริ่มทำพิธีการเผา ปกติลูกชายคนโตจะเป็นตนจุดไฟเผา มีโอกาสได้เห็นศพที่พันด้วยผ่าข่าว แต่กลับมาเห็นอีกครั้งโรยด้วยดอกไม้สีเหลือง (น่าจะเป็นดาวเรื่องหรือเบญจมาศสีเหลือง ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ ดูมองใกล และก็ไม่อยากซูมด้วย)
ก็ท้ายที่สุดก็ตามทุกคน ไม่สามารถนำแม้ผ้าพันศพไปได้
ตบท้ายของทัวร์ด้วยการไป shopping ที่ทาเมล ที่เค้าบอกเหมือนสำเพงเมืองไทย สิ้นค่าต่าง ๆ ดูจะบอกไม่ผ่านมาก (แต่ก็ต่อได้เกือบ 50-60%) มีร้านค้าที่ขายของที่สิ้นค้าคุณภาพ ร้านทอง
ต้องใช้เงินให้หมดไม่อย่างงั้นพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว
จบลงด้วยอาหารจีนใกล้ ๆ โรงแรม กินอาหารเคล้าแสงเทียน ไฟดับ เพราะฝนตก แต่ก็เห็นร้านข้าง ๆ มีไฟ แต่ที่ร้านนี้ไม่รู้ติดปัญหาอะไร