ก่อร่างสร้างธุรกิจ วิกรม กรมดิษฐ์ (ตอน 7)
“ชื่อดีมีชัย ไปกว่าครึ่ง” ประโยคสั้นๆที่อธิบายแนวคิดของวิกรม กรมดิษฐ์ที่ให้ความสำคัญของการตั้งชื่อเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าการตั้งชื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน รวมทั้งเป็นการกำหนดภาพลักษณ์ เป้าหมาย และกรอบของงานชิ้นนั้นไปด้วยในตัว
เมื่อเริ่มก่อตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาที่ดินทำนิคมอุตสาหกรรมแล้ว วิกรมได้เลือกที่จะตั้งชื่อนิคมอุตสาหกรรมนี้ว่า “บางประกง” ด้วยเหตุผลที่ว่าทำเลของโครงการนี้อยู่ใกล้แม่น้ำบางปะกง เวลาดูในแผนที่ประเทศไทยก็จะเห็นชื่อ “แม่น้ำบางปะกง” และ “อำเภอบางปะกง” อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่จะไปนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ไม่มีทางที่จะหลงทางแน่นอน ด้วยเหตุนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนจึงเห็นด้วยว่าเหมาะสมแล้วที่จะใช้ชื่อ “นิคมอุตสาหกรรมบางปะกง” ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา
แต่แล้วในปี 2532 ก็มีเหตุนำพาให้เขาคิดที่จะเปลี่ยนชื่อนิคมอุตสาหกรรม เมื่อมีลูกค้าในนิคมคนหนึ่งเข้าใจผิดว่าโรงนวดที่ชื่อ “บางปะกง” ก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเขาเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีโครงการเขตส่งออกที่ปิดร้างไว้ โรงกลึงและหมู่บ้านข้างนิคมอุตสาหกรรมบางปะกง II ที่ล้วนแล้วแต่ชื่อ “บางปะกง”เช่นกันทำให้เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้คนเกิดความไม่แน่ใจและนึกว่าโครงการของเขาเป็นโรงนวด โรงกลึง หมู่บ้านจัดสรรหรือเขตส่งออกที่ล้มเลิกไป เขาจึงรีบคิดหาทางแก้ไขโดยด่วน ไม่นานเขาจึงประกาศกับพนักงานของบริษัทว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทและชื่อ โครงการ ขอให้ทุกคนส่งชื่อเข้าประกวด โดยมีหลักเกณฑ์ว่า ชื่อต้องมีความเป็นไทยแท้ๆ สะกดเป็นภาษาอังกฤษได้ง่าย และไม่เกิน 3 พยางค์ ชื่อของใครที่ได้รับคัดเลือกจะได้รางวัล 50,000 บาท แต่จนแล้วจนรอดชื่อต่างๆที่ถูกส่งเข้ามาเป็นจำนวนมากก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจ
กระทั่ง วันหนึ่งในช่วงที่เขาเดินทางไปศึกษาโครงการก่อตั้งนิคมฯใหม่ที่ เซี่ยงไฮ้ ระหว่างที่นั่งรถกลับโรงแรม เพื่อนของเขาที่ชื่อจิตรกรก็คุยกับเขาถึงเรื่องโรงแรมอมารีที่ประตูน้ำ แต่ในขณะนั้นเขาก็กำลังคิดไปถึงเรื่องชื่อโครงการที่จะตั้งอยู่ จึงประมวลคำว่าชื่อ “อมารี” มาเป็นคำว่า “อมตะ” ซึ่งเขาคิดว่าดูดีมาก หลังจากนั้นวิกรมจึงนำชื่อ “อมตะ” ไปเช็คในเยลโล่เพจเจสแล้วพบว่าชื้อนี้ยังไม่มีใครใช้ เขาจึงรีบดำเนินการต่อโดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบรายชื่อนิติบุคคลที่กระทรวงพาณิชย์ทันที และแล้วก็เหมือนฟ้าประทานชื่อ “อมตะ” นี้ให้มาเพื่อเขา หลังการตรวจสอบแล้วยังไม่มีใครจดทะเบียนในชื่อนี้ เขาจึงให้เจ้าหน้าที่ไปที่สำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กระทรวงพาณิชย์เพื่อจองชื่อไว้ก่อนและดำเนินการขอชื่อใหม่ตามกฎหมายทันที
บริษัท บางปะกงจึงได้ฤกษ์เปลี่ยนชื่อมาเป็น “บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด” นับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา
“อมตะ” ในความคิดของวิกรมแล้วนั้น เป็นคำสั้นๆที่เปี่ยมด้วยความหมาย นอกจากจะเป็นคำที่มีความเป็นไทย เรียกง่าย จำง่ายแล้วยังเขียนง่ายทั้งคำไทยและภาษาอังกฤษ “AMATA” เพราะมีเพียง 3 พยางค์อีกด้วย คนญี่ปุ่นที่เป็นลูกค้าจำนวนมากของบริษัทฟังแล้วนึกถึงภาษาญี่ปุ่น ส่วนคนในภูมิภาคนี้ฟังแล้วเข้าใจทันที ว่าหมายถึง “ไม่ตาย – มีความยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์” และชาวฝรั่งทั้งอ่านทั้งสะกดก็ไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อนำชื่อนี้ไปใช้ในการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็มีความเป็นสากล ไม่ประสบกับการเรียกหรือสะกดชื่อผิด ๆ ถูก ๆ อีกต่อไป
หลังจากนั้นชื่อโครงการนิคมอมตะทั้งหมด รวมไปถึงบริษัทลูกๆในเครือก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อที่มีคำว่า “อมตะ” เป็นคำยืนพื้นประกอบด้วย โดยเริ่มจาก “นิคมอุตสาหกรรมบางปะกง 2” เป็น “นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร” และ “ นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้” ที่จังหวัดระยอง ส่วนนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามก็ใช้ชื่อ “อมตะซิตี้ เวียดนาม” และบริษัทในเครือ เช่น “อมตะพาวเวอร์” “อมตะวอร์เตอร์” และ “อมตะสปริง” โดยโลโก้ของบริษัทจะใช้แบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ก่อนหลังเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สร้างความเป็นครอบครัวเดียวกันในความรู้สึกให้กับทุกคน สร้างความเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นสามัคคี และแสดงความเป็นอัตลักษณ์ขององค์กร “อมตะ” อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ในครอบครัวอมตะยัง มีเรื่องสนุกเล็กๆ น้อย ๆ ที่ทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกถึงความมีสิ่งที่เหมือนกันพันผูกกันทั้งบริษัท นั่นคือ ชาวอมตะจะมีเบอร์โทรศัพท์ทั้งของบริษัทในเครืออมตะ สำนักงาน และทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพนักงานที่ลงท้ายด้วย 0007 และทะเบียนรถของบริษัทที่ใช้0007 หรือ 7 โดดๆ ซึ่งนั่นคล้ายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของคนอมตะไปเลยทีเดียว
เขาเคยตั้งคำถามถามตัวเองเล่นๆว่า “ทำอย่างไรจะให้องค์กรอมตะมีความเป็นอมตะ สมกับชื่อที่เขาได้ตั้งเอาไว้” ทุกวันนี้เวลาที่พูดถึง “อมตะ” คนจะนึกถึง “วิกรม กรมดิษฐ์” แล้วเมื่อพูดถึง “วิกรม กรมดิษฐ์” ก็จะนึกถึง “อมตะ” เหมือนเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เขาหวังให้คนในองค์กรไม่คิดยึดติดกับผู้ที่เป็น “ผู้นำ” ว่าจะต้องมาจากคนตระกูลกรมดิษฐ์เท่านั้น
แม้ว่าตัวเขาเองจะบริหารงานและปฏิบัติตนแบบ “เถ้าแก่” มานานก็ตามที... แต่เขากลับคิดว่าการทำงานที่ไม่พึ่งพา “ระบบ” แต่ให้ความสำคัญในการพึ่งพาที่ตัว “บุคคล” นั้นเป็นรากฐานที่สั่นคลอนของเส้นทางขององค์กรในระยะยาว หนทางแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างมั่นคงและถาวรที่แท้จริงนั้นควรจะเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติในสายธารระบบขององค์กร เขาจึงให้ความสำคัญกับบุคคลากร ว่าพนักงานต้องได้รับความสุขกายสบายใจในการทำงาน ใช่เพียงการทำงานราวกับถูกตั้งระบบไว้ แต่เป็นการทำงานที่นึกถึงใจเขาใจเรา.... เขาเน้นความสำคัญในการสร้างโอกาสให้แก่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้สามารถแสดง ฝีมือของตนเองอย่างแท้จริงในองค์กร ราวกับนิยามที่เขามักกล่าวในกรณีที่พูดถึงการจัดการระหว่างตัวเองกับลูกน้อง ว่า “ถ้าผมไม่ไว้ใจลูกน้องแล้วผมจะไว้ใจใคร”, “Put the right man on the right job” หรือ “ ถ้าเขาทำได้ดีอยู่แล้วผมจะไปแย่งเขาทำงานเพื่ออะไร”
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่วิกรมอายุครบ 48 ปี เขาก็วางบทบาทของตนในองค์กรเป็นเพียงผู้ตั้งเป้าหมายและวางนโยบาย ช่วยคิด ช่วยวางแผนและช่วยแก้ไข คอยให้คำปรึกษาและสนับสนุนโดยให้แนวคิดกับพนักงานว่าอย่ากลัวว่างานที่ทำจะผิด เพราะคนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่เคยทำงาน เคล็ดลับในการมีลูกน้องดีนั้นเขาคิดว่าปัจจัยสำคัญนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวตนของผู้บริหารว่าเป็นอย่างไร หากต้องการหรือคาดหวังให้เจ้าหน้าที่เป็นคนทำงานที่ดีอย่างไร ผู้นำก็ควรที่จะเป็นต้นแบบที่ดีมีคุณธรรม มีเหตุผลอย่างนั้น คนที่เป็นผู้นำควรต้องวางตนทุกอย่างให้ถูกต้องในชีวิตการทำงาน รวมถึงวินัยด้านการใช้เงิน เวลาทำงาน ความซื่อสัตย์ และความจริงจังต่อหน้าที่ ถ้าทำได้ดังนั้นแล้วลูกน้องหรือผู้ตามจึงจะสามารถยึดถือตามแบบอย่างได้อย่างถูกต้อง และเป็นขั้นเป็นตอน พนักงานมากกว่าครึ่งของ “อมตะ” ในปัจจุบันทำงานกันมาตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว จะมีเพียงหนึ่งในสามของพนักงานที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เข้ามาเป็นกอง หลังเสริมทัพในอนาคต ซึ่งพนักงานแต่ละคนเมื่อทำงานกันไปนาน ๆ เข้าก็มีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น ไม่ค่อยมีใครจากไปไหนยกเว้นเสียชีวิตหรือเกษียณอายุ เขามองทุกคนที่มาร่วมงานเป็นเหมือนญาติในครอบครัวเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของ ชีวิต
ผู้บริหารในองค์กรอมตะนั้นหากไม่นับตัวเขา ในแต่ละรุ่นจะมีคนจากตระกูลกรมดิษฐ์เข้ามาบริหารเพียงสองคนเท่านั้น ส่วนพนักงานที่เป็นดั่งลูกหม้อทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เข้าใจในปรัชญาการทำงานแบบ “อมตะ” เป็นอย่างดี องค์กรอมตะจึงเกิดการกระจายอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ลดหลั่นกันไปแต่ละระดับอย่างเป็นขึ้นเป็นตอน เพื่อให้ทุกคนมีอำนาจในการตัดสินใจและสามารถทำงานกันได้อย่างคล่องตัว เมื่อสามารถวางเข็มทิศกำหนดบทบาทและหน้าที่ได้อย่างชัดเจนแล้วสายเลือดอมตะก็จะสามารถที่จะถ่ายทอดสืบไปจากรุ่นสู่รุ่นไม่จางหายไป
(ตอน 8)
จากเด็กน้อยเมืองกาญจน์ที่เติบโตมาจากครอบครัวคนจีนขนาดใหญ่ที่รายล้อมไป ด้วยปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ พี่ น้อง ฯลฯ ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นแสนสบาย มีเพียง กิน, เล่น, เที่ยว, นอน, และพอโตขึ้นอีกหน่อยก็เพิ่มเรื่องเรียนหนังสือ และช่วยที่บ้านทำงานขึ้นมา การหล่อหลอมของสภาพแวดล้อมในวัยเด็กนี้จึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ความคิด การทำงานและการกินอยู่ของเขาในวิถีของ “เถ้าแก่” หากแต่สำหรับวิถีการบริหารจัดการของเขานั้นกลับหาใช่วงจรแบบเถ้าแก่ไม่ เขาเห็นว่าการบริหารจัดการแบบเถ้าแก่นั้นไม่เป็นการสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาวเลย เขาจึงคาดหวังให้องค์กรอมตะนี้ดำรงอยู่ในวิถีความเป็นระบบอย่างกลมกลืนกับวิถีทางธรรมชาติ ซึ่งนั่นจะทำให้องค์กรมีความเป็นอมตะสมกับชื่อ
ในการที่จะทำให้องค์กรหนึ่งๆนั้นเป็นที่กล่าวขานและรู้จักไปทั่วนั้น คงไม่สามารถที่จะปฎิเสธได้เลยว่า “สื่อสารมวลชน” เป็นตัวกลางที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ดังที่เคยมีผู้วิเคราะห์กล่าวไว้ว่ามีซีอีโอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในซีอีโอเหล่านั้นวิกรม กรมดิษฐ์ก็ได้รับเกียรติให้เป็นคนนึงในกลุ่มคนเหล่านั้น ที่สื่อจะติดตามความเคลื่อนไหว ทำให้อมตะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปโดยไม่ต้องลงทุนโฆษณามากมาย
หลังจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็สร้างแรงดึงดูดให้วิกรม กรมดิษฐ์นักธุรกิจ นักพัฒนา ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เป็นที่จับตามองของผู้คนมากหลาย ทำให้เป็นที่สนใจอยากสัมภาษณ์มาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา สังคมมองเขาในเชิงสร้างสรรค์และให้การยอมรับเป็นอย่างดี และมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มีคนมาขอสัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ ฯลฯ เขาก็จะให้ความร่วมมือด้วยดีอยู่เสมอ
และแล้ว เขาก็ก้าวเข้าสู่การเป็นวิทยากรทางสถานีวิทยุครั้งแรกโดยการ ทาบทามของคุณสุภาพ คลี่ขจาย พิธีกรผู้จัดรายการร่วมกับคุณนราพงษ์ ไวยวรรณ ในรายการของทาง F.M. 97 ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2546 เป็นต้นมา เขากลายมาเป็นผู้ที่จะต้อง “ถ่ายทอด” ความคิด ความรู้จากประสบการณ์ตรงเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมบ้าง โดยในระยะเริ่มต้นก็ก้าวเข้ามาในฐานะแขกรับเชิญ และค่อยๆผันตัวมาเป็นนักพูดหน้าใหม่ โดยรับจัดรายการในวันจันทร์ หลัง 9 โมงเช้า ประมาณ 15- 20 นาที มีคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ และการศึกษามาช่วยเตรียมข้อมูลให้กับเขา ซึ่งรายการของเขาก็ได้รับผลตอบรับจากผู้ฟังเป็นอย่างดีเพราะฟังง่ายและ ประกอบด้วยสาระมากมายทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจากมุมมองของเขา ดังนั้นหลังจากจัดรายการได้เพียงครึ่งปีจึงต้องขยายเวลามาเป็นหนึ่งชั่วโมง บางโอกาสเขาก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังรายการได้โทรศัพท์เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามปัญหาในรายการด้วย
นอกเหนือจากนี้แล้ว ข้อมุลที่นำมาจัดรายการแล้ว เขายังสามารถที่จะนำมาเรียบเรียงเพื่อเขียนลงในคอลัมน์ “มองโลกแบบวิกรม” ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ สัปดาห์ละครั้งอีกด้วย ซึ่งเรียกเสียงตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดีเช่นกัน จากความนิยมที่ล้นหลามทำให้หนังสือ “มองโลกแบบวิกรม” ได้มีการตีพิมพ์ออกมาปรากฎแก่สายตานักอ่านทั้งหลาย ซึ่งหนังสือขนาดพ็อคเก็ตบุ๊ค ที่ประสานเรื่องราวสถานการณ์บ้านเมืองหลายด้าน กับวิธีคิดทัศนะมองโลกในความเป็นตัวตนแบบวิกรมเข้าด้วยกัน มียอดตีพิมพ์กว่า 100,000 เล่มแล้ว และยังมีผู้คนให้ความสนใจซื้ออ่านกันอย่างต่อเนื่อง
หลังจากทำรายการได้ปีหนึ่งแล้ว ก็มีเหตุสุดวิสัยจากทางสถานีวิทยุ ทำให้เขาต้องหยุดการออกรายการอย่างกระทันหัน อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงทำหน้าที่จัดรายการในคลื่นนี้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะ ทำได้จนถึงวันสุดท้าย หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ถัดมาทาง คลื่นวิทยุ 96.5 ก็ติดต่อทาบทามให้เขามาเป็นผู้ดำเนินรายการให้ หลังจากที่เขาได้คุยกับคุณวิสุทธิ์ คมวัชระพงษ์ซึ่งเป็นผู้จัดการคลื่นอยู่หลายครั้ง ก็ทำให้เขายอมที่จะจัดรายการวิทยุนี้ โดยใช้ชื่อรายการว่า“CEO VISION” ซึ่งจะออกอากาศทุกวันศุกร์ วันละหนึ่งชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548 เป็นต้นมา หลังจากนั้นประมาณสองเดือนก็มีการปรับผังรายการใหม่ ด้วยความนิยมจากผู้ฟังผลักดันให้เรตติ้งรายการของเขาขึ้นสูงมาก ทำให้มีการเพิ่มวันออกอากาศเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เป็นทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เวลาตั้งแต่ 9.00-10.00 น. โดยหัวข้อสนทนาในวันพฤหัสบดีเป็นเรื่องของชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ทั้งคนสำคัญของไทยและของโลก ส่วนในวันศุกร์จะเป็นการพูดคุยตอบคำถามที่บรรดาแฟนรายการถามไถ่เข้ามา มีทั้งเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การทำธุรกิจการงาน ปัญหาชีวิต ครอบครัว การศึกษา และอื่นๆมากมายหลายประเด็น
ในช่วงนั้น หลังจากที่วิกรมเขียนคอลัมน์มองบุคคลโลกให้หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์มาได้สักครึ่งปีกว่า คณะผู้บริหารของสำนักพิมพ์และเขาก็ได้คุยกันเกี่ยวกับแผนการจัดพิมพ์หนังสือ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวประวัติของบุรุษโลก โดยนำรายละเอียดข้อมูลที่เคยถูกออกอากาศทางรายการ “CEO VISION” มาเขียนรวมกันประมาณ 20 คนต่อเล่ม หนังสือชุด มอง CEOโลก จึงคลอดออกมาสู่ตลาดหนังสือให้ปัญญาชนได้อ่านกันอย่างแพร่หลาย โดยเล่มหนึ่งๆจะมีความหนาเกือบ 500 หน้า ตีพิมพ์ออกมาปีละ 2 เล่ม ซึ่งเขาได้วางแผนจำนวนหนังสือชุดนี้ไว้เป็นจำนวน 10 เล่ม
จากนักธุรกิจ วิกรมผันตัวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัว เขาใช้เวลาในการอ่านและเขียนไม่ต่ำกว่าวันละ 10ชั่วโมง แม้งานเขียนจะล้นมืออย่างไรก็ตามเขาก็มีความสุขที่ได้เห็นผู้อ่านมีความสุข และได้รับความรู้ผ่านจากผลงานที่เขาเขียน
นอกจากงานเขียนแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งพ่วงมาจากการทำรายการวิทยุ“CEO VISION” ด้วย นั่นคือ รายการ “หมุนตามโลกกับวิกรม” ทาง UBC 7 ที่คุณเทพสิทธิ์ ประวาหะนาวิน เป็นผู้ดำเนินรายการ รายการนี้ก็จะเป็นการนำเอาเรื่องที่พูดในรายการ CEO VISION เกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลโลกที่น่าสนใจ มาสรุปในรายการโทรทัศน์อีกครั้ง ซึ่งเสียงตอบรับกลับมาก็ยังไม่มีท่าจะลดลง มีคนโทรศัพท์มาขอซีดีกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ แล้ววิกรมก็ยังเป็นวิทยากรรับเชิญพิเศษตามมหาวิทยาลัย องค์กรต่าง ๆ หรือในงานทั่วไป เป็นคอลัมน์นิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์อยู่อีกราวๆ 4- 5 ฉบับ เขียนพ็อคเก็ตบุ๊คขนาด 500 หน้าอีกปีละ 2 เล่ม และยังมีโครงการมูลนิธิโครงการอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “นักเขียนอมตะ” โครงการศิลปกรรม อมตะ อาร์8 อวอร์ด,โครงการก่อสร้างอมตะ คาสเซิล... ในเดือนมิถุนายน 2551 เขาก็ได้รับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับการสื่อสารแห่งประเทศไทยอีกด้วย เพื่อเป็นการชักชวนให้ผู้โทรศัพท์ไปต่างประเทศบริจาคเงินจำนวน 81 สตางค์ ต่อหนึ่งนาทีทุกจำนวนครั้งที่ใช้ เพื่อเป็นทุนในการรณรงค์แก้ปัญหาวิกฤติน้ำที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องภาวะโลกร้อน แล้วทำให้เกิดน้ำท่วมกรุงเทพมหานครให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา โดยการทาบทามจากคุณบุญชัย โชควัฒนา
เบื้องหลังของ ความสำเร็จในวันนี้ของวิกรม กรมดิษฐ์นั้นประกอบขึ้นมาด้วยความพากเพียร อุตสาหะ และอดทนต่อทุกอุปสรรคที่รุมเร้าอย่างไม่ย่อท้อ ดั่งคติคำสอนเตือนใจจากนิทานทศชาติชาดกเรื่องพระมหาชนกที่มหาชนกกุมารทรงตอบ นางมณีเมขลาขณะที่ทรงแหวกว่ายลอยตัวอยู่ในทะเลนานถึง 7 วัน ว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" "คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำ ความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว " และ "แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรา กำลังกระทำนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือ ย่อมได้รับผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวันบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกำลัง เพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้"
ที่มา http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=23186.0
อ่านจบแล้วได้สาระความรู้และประสบการณ์ มุมมองของคนประสบผลสำเร็จในชีวิต เห็นถึงความมุ่งหมั่นและพากเีพียร ขอบคุณมาก ๆ
นะครับ สำหรับเจ้าของบทความนี้