เสาร์-อาทิตย์ 17-18 มิถุนายน 2549 พาทีมไปช่วยกันจัดการสัมมนาเพื่อพัฒนาองค์กร (Organization Development :OD) ให้กับโรงพยาบาลอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่โรงแรมกรีนเวิร์ลด ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ความสุขและได้แรงบันดาลใจไปด้วยมากมาย
ทีมที่ไปช่วยกันครั้งนี้ มีทั้งทีมน้องๆนักวิจัยของสถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล และทีมคนหนุ่ม-คนสาวจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ทั้งหมดเป็นนักกิจกรรมด้วย ประสบการณ์และภาวะผู้นำในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมจัดว่าดี รวมทั้งผ่านการเรียนรู้กับคนพุทธมณฑลมาพอสมควร กระบวนการต่างๆที่ร่วมกับทีมโรงพยาบาลออกแบบไว้แต่เดิม รวมทั้งทีมกระบวนการที่จัดเตรียมไว้ ต้องเรียกว่า พร้อมสรรพทั้งสาระและภารกิจ เนื้อหาเพรียบ
วันใกล้จะถึงงาน ได้ประชุมทีมร่วมกันอีกรอบ ทุกอย่างก็ได้รับการตรวจตรา ตระเตรียม พอเสร็จเรียบร้อย ก็นั่งคุย ปรับทุกข์และแลกเปลี่ยนความรู้สุกกันแบบสบายๆ ทว่า...ช่วงแลกเปลี่ยนแบบสบายๆนี้นั่นเอง กลับทำให้เราเกิดฉุกคิดและปรับกระบวนการใหม่ แทนกระบวนการที่เตรียมกันมากว่าหนึ่งเดือน
ระหว่างที่คุยกัน เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล 2-3 คน ปรารภว่า "ไปครั้งนี้ ทุกคนคงมีความสุข..." เหมือนเป็นการกล่าวแบบลอยๆ แต่กลับสะดุดใจเป็นอย่างยิ่ง หลายคนร่วมความรู้สึกเดียวกัน "คนทำงานเหนื่อยมาก เหนื่อยหนักตลอดปี" อีกคนเสริม
"ไม่ใช่เฉพาะโรงพยาบาลหรอก พวก สอ-ออ (หมออนามัย) ก็หนัก ใครไม่รู้หรอก งานทุกอย่างลงมาเต็มไปหมด ทำกันไม่ทัน.." พยาบาลอาวุโสท่านหนึ่ง ร่วมปรารภด้วย
ผมได้สติ จริงด้วย หลายที่ที่ผมไป ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานด้านสุขภาพหรือด้านอื่น ที่ทำงานอยู่ในระดับพื้นที่ มักเปรยอยู่เสมอว่า งานหลายอย่างในภาคปฏิบัตินั้น บางทีอาจจะไม่ไปกับกระแสสังคม ที่เป็นอย่างนั้น ใช่ว่าจะไม่เห็นประเด็นสังคมหรือคนทำงานไม่มีความรู้เรื่องสภาวะแวดล้อม แต่คนทำงานร้อยแปดพันเก้า ไม่ทัน จริงสิ งั้นทำไม เราจะออกแบบกระบวนการไปทำให้เขาหนักชีวิตเพิ่มเข้าไปอีก
ผมชวนทีมเปลี่ยนโจทย์ใหม่ ...เราพาเขาไปอยู่กับตัวเอง วางมือผ่อนคลายจากงานและความเหนื่อยหนัก นั่งมองมัน แล้วก็จัดเวลา ให้ได้สร้างความสุข อยู่กับตัวเองมากๆ สัมผัสคนรอบข้างลึกๆ ชื่นชมสภาพแวดล้อมด้วยแรงบันดาลใจใหม่ๆ พาให้คนที่ดูแลทุกข์คนอื่น สร้างสุขภาพให้คนอื่น ได้รู้วิธีใช้ชีวิตของตนเอง สร้างความสุข และอบรมตนเองให้มีเครื่องมือจัดการความทุกข์ข้างใน....พอหารือไปอย่างนี้ ทั้งทีมเห็นด้วยเป็นเสียงเดียว แสดงว่าก่อนหน้านั้นอาจจะเกรงใจและให้เกียรติคนคิดกระบวนการ ทุกอย่างเลยออกแบบใหม่หมด โดยถือเอากลุ่มผู้ร่วมสัมมนา 57 คน ซึ่งประกอบด้วยทีมบริหาร หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหมออนามัย และการจัดกระบวนการให้ทุกคนความสุขขึ้นในตนเอง เป็นตัวตั้ง
ถ้าเป็นการทำงานด้วยใจ มากกว่าภาระหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติ บางครั้งก็ก่อให้เกิดความสุขได้มากกว่าที่ต้องทำไปตามกระแส แนวคิดเริ่มชี้ให้เห็นว่า ต่อไปการทำงานต้องอาศัย "ใจ" มากกว่า "คำสั่ง" และ "กระแส" อีกทั้ง นโยบายกับแนวการปฏิบัติ ก็ต้องสอดรับกับความเป็นไปได้อย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมกระมังคะ (ไม่ได้หมายความว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่สอดคล้องนะคะ) ขอให้ทีมงานมีความสุขกับการทำงานด้วยใจค่ะ เอาใจช่วยให้งานสาธารณสุขของไทยก้าวหน้าแล้วก็เป็นที่พึ่งพิงของชาวประชาถ้วนหน้าทั้งกายและใจค่ะ
เจ้ายุนี่เอง คิดว่าใครที่ไหน ขอบคุณมากที่เข้ามาแลกเปลี่ยน
ตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว เป็นดอกเตอร์แล้วใช่ไหม ที่ มน ที่ยุอยู่นี่ เขามีกลุ่มที่ทำเรื่องการจัดการความรู้ มีอาจารย์บางท่านมาทางสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาด้วย เดาว่ายุคงไปร่วมเวที-เครือข่ายกับเขาด้วย ที่ มน มีบรรยากาศส่งเสริมการเรียนรู้ของกลุ่มนักปฏิบัติดีจัง
เดือนก.ค ไม่อาจารย์มี Story Telling`มาฝากบ้างเลย
อ่านบล๊อกของอาจารย์แล้วได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกมากมาย เล่าเรื่องที่มาแพร่ให้คนแพร่อ่านบ้างคงจะดี
หรือเรื่องอื่นๆอีกก็ได้
สวัสดีค่ะ
(^___^)