การกำหนดอิริยาบถต่างๆ ที่เป็นสภาพธรรม และเป็นสภาวธรรมก็เด่นชัดเจน
ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดวิริยะ ความขยันหมั่นเพียรในการกำหนด
เราเห็นรูป เห็นนามและเห็นการเกิดดับของรูปของนาม
สภาวะรูปที่เกิดขึ้นอิงอาศัยนาม นามก็อิงอาศัยรูป
รูปอาศัยมหาภูตรูป
รูปอิงอาศัยซึ่งกันและกัน
รูปที่สามารถเป็นมหาภูตรูปคือรูปใหญ่ คือ
ส่วนที่เรียกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง ๔ รูปที่อาศัย
คือรูปร่างกายที่เกิดขึ้น เดินได้ ขยับได้
เคลื่อนที่ได้นี้ มาอิงอาศัยนาม
นามอาศัยรูป แล้วนามก็อาศัยนาม
คำว่า นามอาศัยนาม คือสิ่งที่รู้สภาวจิต จิตเป็นนามธรรม
สภาวจิตไปรู้สภาวธรรมเป็นนามธรรม มันจึงเป็นนามอาศัยนาม
นามพิจารณานาม ความทุกข์เป็นสภาวะที่เป็นนาม
เมื่อเรามีสติหยั่งรู้ เรียกว่าสัมปชัญญะ
ไปพิจารณาสภาวทุกข์
สภาวะอนิจจัง
สภาวะทุกขัง
สภาวะอนัตตา
การรู้พิจารณาในนามธรรม
เราพิจารณาเห็นสภาวะอย่างนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาเรียกว่า การพิจารณาโดยสภาวจิต
จิตที่เห็นสภาวธรรม เรียกว่าจิตที่มีพลัง
หรือจิตมีพลังเรียกว่า Mental Power
เมื่อจิตมีพลังมันก็ตามดู
ตามรู้
ตามเห็นสภาวทุกข์
สภาวธรรมที่เกิดได้ทุกขณะ
ดังนั้น เมื่อมีการพัฒนาสติได้อย่างนี้
สติก็จะไปคุ้มครองจิต
สติก็จะรักษาจิตได้
นามรักษานาม รูปรักษารูป
อาศัยได้ซึ่งกันและกัน ตรงนี้เห็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น
โดยเกิดดับนับไม่ถ้วน
สภาวะที่เกิดอย่างนี้ เรียกว่า สภาวะสติของอริยบุคคลขั้นต้น
แต่ถ้ากำหนดรู้ตลอดสาย โดยไม่มีสภาวะสิ่งใดมาปิดขวางกั้น
เราไม่ขาดสติ ก็เรียกว่าสภาวะสติของพระอรหันต์
อันนี้เป็นสภาวะการเห็นพระไตรลักษณ์ชัดเจนแจ่มแจ้ง
สวัสดีค่ะ
แวะมาส่งความระลึกถึงค่ะ
และเชิญชวนร่วมสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ด้วยกันนะคะ
http://gotoknow.org/blog/rongkham/349984
ขอบคุณค่ะ