เสด็จออกบรรพชาและบำเพ็ญพรต


เสด็จออกบรรพชาและบำเพ็ญพรต

       พระองค์ได้เสด็จประพาสรอบพระนคร ๔ วาระด้วยกัน ได้ทรงเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทำให้สังเวชสลดพระทัยและเบื่อหน่ายในสังสารทุกข์ ทรงเห็นว่าการออกบรรพชาเป็นทางดีที่สุด ที่อาจทำให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

        การที่ได้เห็นนักบวชก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า การบวชจะช่วยให้มีเวลาว่างเป็นของตัว จะได้คิดค้นอะไรได้มาก เพราะฉะนั้นการเห็นเทวทูตสี่จึงเป็นเครื่องเตือนใจ

        วันหนึ่งเสด็จออกจากปราสาทไปพักในสวน พอดีพระนางพิมพาประสูติพระโอรส อำมาตย์ก็ไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า บัดนี้พระนางพิมพาได้ประสูติพระโอรสแล้ว เพราะองค์ก็อุทาน "ราหุลํ ชาตํ" แปลว่า "บ่วงเกิดแล้ว"

        อำมาตย์ผู้นั้นได้ยินก็นึกว่า เจ้าชายสิทธัตถะตั้งชื่อลูกชายว่า "ราหุล" เลยกลับไปทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า มกุฎราชกุมารพอพระทัยในการที่มีลูก ตั้งชื่อให้แล้วว่า "ราหุล"

        ในความจริงนั้นไม่ใช่ พระองค์บ่นออกมาด้วยความรู้สึกในใจว่าบ่วงเกิดแล้ว "ราหุล" แปลว่า "บ่วง" มนุษย์เรานี่มีบ่วงอยู่ ๓ บ่วง

มีบุตร เรียกว่า บ่วงพันคอ

มีภรรยา เรียกว่า บ่วงผูกมือ

มีทรัพย์ เรียกกว่า บ่วงผูกเท้า

         ถ้าตัด ๓ บ่วงนี้ได้ก็พ้นทุกข์ แต่ถ้ายังมี ๓ บ่วงนี้อยู่ ก็ยังจะต้องวุ่นวายทั้งหญิงและชายเหมือนกัน ถ้าเป็นบ่วงผูกมือของหญิง ก็คือ "สามี" ถ้าเป็นบ่วงผูกมือของชาย ก็คือ "ภรรยา" บ่วงทั้ง ๓ ในที่นี้ขยายความออกให้ชัดได้ว่า ถ้าคนมีบุตรมักกลืนอะไรไม่ลงเพราะคิดถึงลูก ถ้ามีโอกาสได้กินผลไม้อร่อย ต้องรีบเอาไปฝากลูก เท่ากับมีบ่วงพันอยู่ที่คอ คอยรัดคอให้แคบตลอดเวลา ส่วนภรรยาก็จูงมือไป(ผูกมือ) ทรัพย์ก็ผูกเท้าไว้ไม่ให้ไปไหนได้ ทำให้เป็นห่วงบ้าน ห่วงนั่น ห่วงนี่ พระองค์จึงถือว่าบ่วงเกิดแล้ว คือเกิดจากบุตรที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง

         ก่อนที่พระองค์จะตัดสินใจแน่วแน่เพื่อออกบวช พระองค์เสด็จเข้าไปในห้องพระนางพิมพา ได้เห็นนางกอดลูกน้อยราหุลอยู่ นึกในใจว่า ควรบอกสักหน่อยดีหรือว่าอุ้มลูกชายสักหน่อย แล้วจึงค่อยไปดี อีกใจหนึ่งบอกว่า อย่านะ ขืนปลุกก็ไม่ได้ไปเด็ดขาด นางจะกอดแข้งกอดขาไว้จะไปได้อย่างไร ก็เลยไม่ปลุกไปยืนดูใกล้ๆ ดูด้วยความรัก

         พระองค์ไม่ใช่คนใจหิน ย่อมมีอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา ดูแล้วถอยออกมาแล้วกลับเข้าไปใหม่ ทำท่าจะจับจะปลุกให้ลุกขึ้น แต่ใจหนึ่งก็ว่าไม่ได้ๆ อย่ายุ่ง ให้เขานอนให้สบายแล้วก็เลยถอยหลังมาที่ประตู รีบปิดประตูแล้วเสด็จออกไปเลย

         ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินพระทัยทิ้งลูกน้อยที่เพิ่งประสูติ ออกบวชเมื่อพระชนม์พรรษา ๒๙ ปี เสด็จหนีออกจากพระราชวังในเวลากลางคืน ประทับบนหลังม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะ อำมาตย์ผู้ใกล้ชิดตามเสด็จด้วย สำหรับม้ากัณฐกะและนายฉันนะนี้ นับว่าอยู่ในสหชาติทั้งเจ็ดของพระพุทธเจ้าด้วย สหชาติทั้งเจ็ด คือสิ่งที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า มี

๑. พระนางพิมพายโสธรา

๒. พระอานนท์

๓. นายฉันนะ

๔. อำมาตย์กาฬุทายี

๕. ต้นศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา

๖. ม้ากัณฐกะ

๗.ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ มุมเมือง

 

       พระพุทธองค์เสด็จจากแคว้นศากยะวงศ์ ผ่านดินแดนกษัตริย์โกลิยะ จนมาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง

       เมื่อเสด็จมาถึงแม่น้ำดังกล่าว ก็เป็นเวลาสว่าง พระองค์ก็ตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร นายฉันนะบอกว่า "แม่น้ำอโนมานที" (ซึ่งแปลว่า หาที่เปรียบมิได้) พระองค์จึงตรัสต่อว่า การกระทำของพระองค์วันนี้ก็ไม่มีที่เปรียบเหมือนกัน เหมือนกับชื่อแม่น้ำนี้

       นายฉันนะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์จะทำอะไรในวันนี้ พระองค์จึงตรัสว่า จะทรงผนวช นายฉันนะพยายามทูลทัดทานว่า ประชาชนยังจงรักภักดีอยู่ พระนางพิมพาก็เพิ่งประสูติ พระเจ้าสุทโธทนะก็แก่ชราแล้วพระองค์จะทิ้งไปได้อย่างไร แต่เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว จึงสั่งนายฉันนะให้นำเครื่องประดับและม้ากลับวัง นายฉันนะจึงจำใจกลับไป     จากนั้นพระองค์จึงเสด็จข้ามแม่น้ำไปอีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นดินแดนแคว้นมัลละกษัตริย์ แล้วตัดพระเมาฬี(มวยผม) ด้วยพระขรรค์ (มีด) อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต สถานที่นี้เรียกว่าอนุปิยนิคม พระองค์ตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวว่า จะพยายามค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐเป็นหนึ่งในโลก

       หลังจากที่ประทับอธิษฐานเพศแล้ว จึงเสด็จลงมาทางใต้ จนเข้าเขตแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร เวลาเช้าของวันที่ ๘ ก็เสด็จเข้าไปเที่ยวภิกขาจารอยู่ในเมืองราชคฤห์ ประชาชนแตกตื่นกันเพราะไม่เคยเห็นนักบวชผู้มีรูปงาม แต่งกายเรียบร้อย ท่าทางสงบ น่าดู ผิดกับคนอื่น คนก็พากันเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังตื่นเต้นกันไปทั้งเมือง ราชบุรุษเห็นแปลกก็เลยตามดู เมื่อรู้ว่าพระองค์ได้รับอาหารและเสด็จออกจากเมืองไปแล้ว จึงไปกราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ

       พระเจ้าพิมพิสาร จึงเสด็จมาเฝ้าที่เชิงเขาบัณฑวะ เมื่อทรงทราบว่าเป็นเจ้าชายออกบวช จึงชักชวนให้ลาสิกขา เพราะไม่เป็นการเหมาะที่กษัตริย์จะออกภิกขาจารและบำเพ็ญพรตด้วยความทุกข์ทรมานอย่างนี้ และสัญญาว่าจะแบ่งราชสมบัติให้ปกครอง พระองค์ไม่ยินยอม พระเจ้าพิมพิสารจึงทูลขอปฏิญญาว่า

       "ถ้าได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเมื่อใดแล้ว ขอได้เสด็จมาสู่แว่นแคว้นของข้าพเจ้าด้วย"

       จากนั้นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปศึกษาในสำนักอาจารย์อาฬารดาบส กาลามโคตร ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดอยู่ในขณะนั้น สำนักอาจารย์อาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นสำนักที่มีผู้มีความรู้สูงในทางจิต ทางฌาน ทางภาวนา เมื่อพระองค์เรียนจบความรู้ของอาจารย์จนอาจารย์ยกย่องว่า พระองค์ทรงเก่งกว่าใครๆ ทรงเรียนจบได้ถึงขั้นอากิญจัญญายตนะณานสมาบัติ เห็นว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงเสด็จต่อไปยังสำนักของท่านอาจารย์อุทกดาบส รามบุตร  ได้สำเร็จสมาบัติขั้นที่  ๘ คือเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็น ขั้นสูงสุดของสำนัก แต่ก็ไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นทางตรัสรู้ จึงเสด็จจาริกต่อไปอีก จนในที่สุดเสด็จมาถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมแม่น้ำเนรัญชรา ติดกับพุทธคยาในปัจจุบันนี้ ได้พักแรมอยู่ที่นี่ เพราะทรงเห็นว่ามีป่าร่มเย็นสบาย แม่น้ำก็ไหลใสเย็นจืดสนิท มีทางเดินลงแม่น้ำราบเรียบ น่าเพลินใจ และมีหมู่บ้านสำหรับการออกเที่ยวบิณฑบาต สมควรจะหยุดทำความเพียรที่นี่ต่อไป จึงเสด็จไปประทับที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ณ เชิงภูผาเขาดงคสิริ

ต่อมาพระปัญจวัคคีย์ (คือโกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ) เมื่อรู้ข่าวว่า เจ้าชายสิทธัตถะออกบวชจึงได้มาขออยู่อุปัฏฐากพระองค์ โดยหวังว่าเมื่อทรงบรรลุจุดหมายแล้วจะได้สั่งสอนพวกเขาต่อไป

หมายเลขบันทึก: 349607เขียนเมื่อ 4 เมษายน 2010 18:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท