ชีวิตคนทำงานกลางทะเล (Offshore @ Gulf of Thailand) ตอนที่ 10 อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตภาควันหยุดทำงาน ไปเที่ยวมาเก๊า-ฮ่องกง กันดีกว่า


ทิ้งปัญหาไว้ข้างหลัง ไปเที่ยวชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต แล้วค่อยกลับมาสู้ปัญหากันดีกว่าค่ะ

                 สองเดือนที่ผ่านมามีปัญหาและอุปสรรคเรื่องงานเข้ามาทดสอบความอดทน อดกลั้นหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน บางครั้งก็เหนื่อยและท้อ และบางครั้งก็แทบจะถอยไปเลย เอาล่ะ....เครียดมามากพอแล้วกับ 14 วันทำงาน เอาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตใน 14 วันหยุดไปเที่ยว หนีปัญหา (ชั่วคราว) เพื่อไปพักผ่อนจิตใจและชาร์จแบตเตอรี่ชีวิตให้พร้อมกลับมาสู้ปัญหาต่อไปดีกว่า ช่วงที่มีปัญหาการทำงานประดังประเดเข้ามาก็ประจวบเหมาะกับที่ฉันกับเพื่อนสาว (สวยและโสด) ได้จองตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นของสายการบินแอร์เอเชีย กทม-มาเก๊า ไปกลับได้แค่ 1900 บาทเท่านั้น ดีใจสุดๆ เหมือนได้ฟรีเลย :) ถอย...เพื่อกลับมาสู้และเอาความขมขื่นไปทิ้งมาเก๊า-ฮ่องกง 5 วัน 4 คืนกันดีกว่า พร้อมแล้ว..มาตามติดการผจญภัยครั้งนี้กันได้เลยค่ะ

                เริ่มต้นด้วยเราสามคนเพื่อนรัก คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 16 ปีแล้ว (ทายอายุได้เลยนะเนี่ย) สัญญา (ก็ไม่เชิง) กันไว้ว่าใน 1 ปีเราสามคนต้องไปเที่ยวด้วยกันให้ได้ซัก 1 ครั้ง ทริปมาเก๊า - ฮ่องกงจึงได้ถูกวางแผนกันมาน๊านนนนนนนนนน แสนนาน พอใกล้ถึงวันออกเดินทางเพื่อนคนหนึ่งกลับทรยศซะงั้น (จริงๆ แล้ว ติดธุระเรื่องงานจ้า) หนึ่งคนไปไม่ได้ล่ะ งั้นก็เหลือเราสองสาวแล้วล่ะซิ เอาวุ้ย... สองคนก็สองคนไปผจญภัยกันเอาดาบหน้าเถอะนะ เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เราไปกันแค่สองคน ไม่มีไกด์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นลุง Google จึงเปรียบเสมือนไกด์ที่ดีที่สุดของเราค่ะ หากันเข้าไปข้อมูล อ่านกันเข้าไป หนังสือท่องเที่ยวก็ซื้อมาแล้ว คิดว่าตัวเองทำการบ้านได้คะแนนเต็มเลยนะเนี่ย ภาคทฤษฎีรู้หมดว่าต้องเที่ยวที่ไหน เดินทางยังไง ต้องกินอาหารอะไรจึงจะเรียกได้ว่ามาถึงมาเก๊า-ฮ่องกง เอาไปเลยคะแนนเต็ม แต่เอาเข้าจริงภาคปฏิบัติเนี่ยล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยค่ะ มาดูกันค่ะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้

                วันแรก ระหว่างทางมาสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนสาวเราออกตัวว่า “ชั้นเป็นได้แค่ตัวหารค่าใช้จ่ายนะ เพราะเป็นคนจำเส้นทางอะไรไม่ค่อยได้”  ฉันก็บ่นกระปอดกระแปดพลางคิดในใจว่า “ตูจะดีใจดีมั๊ยเนี่ย” เริ่มเครียดแล้วเว้ยยยย เราสองสาวมาถึงสนามบินเกือบประมาณ 8.30 น. ค่ะ เริ่มจัดการเช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จ ก็แลกเงินค่ะ อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 HKD อยู่ที่ 4.30 บาทค่ะ เสร็จตอน 9.00 น. เราก็คิดว่าเอ้อ... ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 1 ชม. ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า กินข้าวเช้าเสร็จสรรพปาเข้าไปเกือบ 9.30 น. ป่ะ...รีบไปตรวจพาสปอร์ตกันก่อน แล้วจะได้เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง ปรากฏว่ากว่าจะเดินทางไปถึงช่องตรวจพาสปอร์ต และเดินทางไปขึ้นเครื่องบินได้ เจ้าหน้าที่ก็ประกาศ Last call เรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้วค่ะ วิ่งกันแทบตาย เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วยสายการบินแอร์เอเชียเที่ยวบิน FD3602 เวลา 10.10 น. ใช้เวลาเดินทางไปถึงมาเก๊าประมาณ 3 ชม. กว่าๆ ค่ะ (เวลาท้องถิ่นมาเก๊าเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม. ค่ะ) พอเครื่องบินลงสู่สนามบินมาเก๊า โอ้ววววววววววว แม่เจ้า อะไรกันเนี่ย ฝนตกด้วย หมอกลงเต็มเลย ทัศนวิสัยแย่มาก ที่สนามบินมาเก๊าไม่มีงวงช้างเหมือนบ้านเรานะคะ เราต้องเดินลงจากเครื่องบินแล้ววิ่งฝ่าสายฝนมายังตัวอาคารค่ะ (ระยะทางไม่ไกล ซักประมาณ 100 เมตรค่ะ) หูยยยยยยยยยยย หนาวมั่ก มากกกกก สองสาวแต่งตัวกางเกงยีนส์ เสื้อยืด รองเท้า (เกือบ) แตะ มาค่ะ เป็นความผิดพลาดอย่างแรกเลยที่ค้นพบ ตอนที่อ่านหนังสือมา เขาบอกว่าเดือนมีนาคมเป็นปลายหน้าหนาว เตรียมเสื้อแจ็กเก็ตบางๆ มาก็พอ เราก็เอาตามนั้นเลย ไม่ได้โทรชงโทรเช็คอากาศเลย แถมเอากางเกงขาสั้น ชุดแส็คมาพร้อม กะว่าจะถ่ายรูปให้สวยกันสุดฤทธิ์ สุดท้าย...เก็บมันเข้ากรุไปเลยค่ะ ไม่งั้นจะกลายเป็นตัวประหลาดของเมืองเป็นแน่แท้ ระหว่างทางเดินภายในตัวอาคาร ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เดินผ่านเจ้าหน้าที่กันไปเฉ้ยยยยยยยย แต่ทำไมเราสองสาวโดนเรียกตรวจกระเป๋าสัมภาระซะงั้น เพื่อนสาวเราบอกว่า “สงสัยเขาเห็นหน้าตาเราสองคนเหมือนกะเหรี่ยงเลยเรียกตรวจ” ดูมันพูดดดดดดดดดดด.... มาถึงทางออก เหลียวซ้าย แลขวา จะไปโรงแรมยังไงดีหว่า แท๊กซี่นี่แหละ ง่ายสุด หลังจากขึ้นนั่งบนรถ เพื่อนสาวเราบอกคนขับว่าไปโรงแรม Man va hotel คนขับพยักหน้า เราก็คิดในใจว่าเอออออ เข้าใจง่ายดี ไปๆ มาๆ แท๊กซี่พาเราสองสาวไปจอดหน้าโรงแรมหรูซะ โห ช้านนนจะมีเงินจ่ายไหวได้ยังไงกัน ไหนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ ตกลงเข้าใจมั๊ยเนี่ย สุดท้ายต้องชักภาพถ่ายโรงแรมพร้อมป้ายโรงแรมเป็นภาษาจีนมาให้ดู จึงได้ร้องอ๋อกันรอบสอง อ้อ ลืมบอกไปค่ะจากการศึกษาข้อมูลมาเขาบอกว่าคนในมาเก๊าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ยกเว้นตามโรงแรม สนามบิน หรือห้างใหญ่ๆ เท่านั้น มาถึงโรงแรมจัดการเช็คอิน เรา walk in ค่ะ ไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า เพราะไม่รู้จะจองยังไงดี โชคดีที่มีห้องว่างค่ะ ได้ราคา 320 HKD/คืน เราจอง 1 คืนค่ะ

หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาจากห้องพัก ที่แรกที่ตั้งใจจะไปคือแถวๆ จัตุรัสเซนาโด้ และเลยไปซากประตูโบสถ์เซนด์ปอล เพื่อนที่เคยมาแล้วเขาบอกว่าจากโรงแรมเดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว เราก็เดินๆๆ สมมติว่าจัสตุรัสเซนาโด้อยู่ทางเหนือ แต่เราสองสาวเดินลงทางใต้เลยค่ะ หนาวก็หนาว ฝนก็ตกปรอยๆ หาจัสตุรัสเซนาโด้ไม่เจอซักที ถามคนนั้นก็ส่ายหน้า ถามคนนี้ก็ส่ายหัว เอาถามอีกคนละกัน สุดท้ายได้ความว่าเราเดินมาคนละทางเลยค่ะ เดินๆ ต่อไป อ้าววว นี่ไงเจอแล้ว โอ๊ย...ดีใจสุดๆ เราสองสาวแต่งตัวประหลาดสุดในย่านนี้เลยมั้งคะ เพราะเดินใส่เสื้อยืดท้าลมหนาวซะอย่างนั้น ชาวบ้านเขาใส่แจ็กเก็ตตัวหนาๆ ผู้หญิงสวมรองเท้าบู๊ตเท่ห์ๆ แต่เราสองสาวลากแตะกันเลย

 

เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ก็พอให้อุ่นร่างกายได้บ้าง เพราะในร้านค้าอากาศจะอุ่นไม่เหมือนอากาศข้างนอก ฉันก็เลยไม่ได้ซื้อเสื้อกันหนาว คิดว่าตัวเองยังไหว และอีกอย่างยังหาที่ถูกใจไม่ได้ แต่เพื่อนสาวเราได้เสื้อแจ็กเก็ตบางๆ มาหนึ่งตัว เดินไปเดินมา เหนื่อยและ ไปหาห้องน้ำเข้าดีกว่า หาๆๆ หา ไม่เจอ เพื่อนสาวเราไปถามเจ้าหน้าที่ในห้างฯ เป็นภาษาจีน พูดแบบงูๆ ปลาๆ แต่เจ้าหน้าที่ดั๊นเข้าใจซะอีก ก็เลยได้ความว่าห้องน้ำอยู่ที่ร้านแม็คโดนัลด์ เอ้ามาถึงร้านแล้ว จะให้เข้าห้องน้ำเขาอย่างเดียวก็ดูจะน่าเกลียด กินอาหารเขาด้วยคงดีกว่า ตกลงว่าอาหารมื้อแรกของเราสองสาวคือแฮมเบอร์เกอร์กับไก่ทอดค่ะ เพื่อนสาวเราก็บ่นไปตามเรื่องตามราวว่า “ดูดิ มาถึงมาเก๊า แทนที่จะได้กินอาหารจีนดีๆ อร่อยๆ  ไหงมื้อแรกเป็นแม็คโดนัลด์ไปซะได้” ทำไงได้ล่ะ ก็อยากมาเข้าห้องน้ำเขานี่นา... ระหว่างมื้ออาหารเราสองสาวก็นั่งคุยกันว่าจะไปไหนต่อดี เพราะฝนเริ่มตกหนักแล้ว จะเดินหาซากประตูโบสถ์เซนด์ปอลตอนนี้คงไม่ไหวแน่ ร่มก็ไม่มี เสื้อกันหนาวก็ไม่มี แถมไม่รู้ไปทางไหนอีก ก็เลยตกลงกันว่างั้นไปเวเนเชี่ยน (The Venetian) ก็แล้วกัน ว่าแต่ว่ามันไปยังไงหว่า อยู่ตรงไหนเนี่ย หันซ้าย แลขวาอีกแล้ว เจอแล้วเป้าหมายของเรา เราสองสาววิเคราะห์แล้วว่าเขาคนนั้นต้องพูดภาษาอังกฤษได้แน่นอน เพราะยังหนุ่มแน่น ดูเป็นคนทำงาน หน่วยก้านดี แถมหล่ออีกต่างหาก อิๆๆ เพื่อนสาวเราก็กระแซะๆ “แกถามซิ ไม่กล้าถาม” เราก็ถามว่า “ทำไมล่ะ” เพื่อนสาวเราตอบว่า “เห็นคนหล่อไม่กล้าถาม อาย” เอ้า ถามเองก็ได้ เขาถามเราว่าเราอยากจะเดินทางแบบไหนโดยรถบัสหรือว่าแท๊กซี่ เราก็ตอบทันทีทันใดว่า “แท๊กซี่ค๊า” (รถบัสขึ้นไม่ถูก ไม่รู้เส้นทาง เดี๋ยวลงรถไม่ถูกอีก) เราขึ้นแท๊กซี่ ผ่านแถวๆ โรงแรมแกรนด์ลิสบัว ช่วงหัวค่ำพอดี ทางโรงแรมเปิดไฟเล่นแสงสี สวยมากๆ แต่เสียดายไม่ได้มีโอกาสได้เดินดู มาถึงเวเนเชี่ยนเรารีบวิ่งเข้าโรงแรมแทบไม่ทัน เพราะข้างนอกอากาศหนาวมากๆ ข้างในโรงแรมอุ่นสบายค่ะ

เข้ามาข้างใน สวยมากๆๆ ที่นี่แหละเป็นสถานที่จำลองเมืองในฝันของเราเลย มีล่องเรือกอนโดล่าด้วย ฝันมานานว่าจะต้องล่องเรือกอนโดล่าให้ได้ ไม่ได้ล่องของแท้ต้นตำรับที่เมืองเวนิซ ก็ขอล่องที่นี่ก่อนแล้วกัน จัดการซื้อตั๋วสองคน สนนราคาอยู่ที่ 108 HKD/คนค่ะ ใช้เวลาล่องเรือไปกลับก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ เคยได้ยินมาว่าตอนล่องเรือลอดใต้สะพานให้คู่รักจุ๊บกันแล้วความรักของสองเราจะยืนยาวนานนิรันดร ท่าจะจริงนะคะ เพราะได้ยินเสียงคนพายเรือเชียร์คู่รักว่า “Kiss Kiss Kiss” แต่เรามากันสองสาวก็เลยผ่านขั้นตอนนี้ไปเลยละกัน อิๆๆๆ

เสียดายตอนล่องเรืออยากได้รูปคู่มากๆ แต่ไม่มีคนถ่ายให้ พอเรือล่องมาถึงปลายทางเราก็เลยถามคนพายเรือว่า “Can you take us photo? ถ่ายรูปให้หน่อยได้มั๊ยคะ” เขาตอบกลับมาว่า “Sorry, I can’t touch the camera. เสียใจด้วยครับ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้จับกล้องถ่ายรูปครับ” เราก็แป่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พอเดินขึ้นมาจากเรือ มีเจ้าหน้าที่เอารูปถ่ายเราสองคนมาให้ดู มาเป็นเซ็ทเลยค่ะ ทั้งรูปถ่ายตั้งโต๊ะ ปฏิทิน พวงกุญแจ (เขาถ่ายไว้ตอนลงเรือ) เราก็อยากได้ เพราะเป็นรูปคู่ด้วย ถามราคาอยู่ที่ประมาณ 300 กว่า HKD คิดเป็นเงินไทยก็ตกประมาณพันกว่าบาท โห...แพงว่ะ ไม่เอาดีกว่า ตัดใจเดินหนี เดินแวะเข้าไปในคาสิโนซักแป๊บ แต่ไม่เล่น เพราะมีตังค์น้อย จากนั้นก็แวะช้อปปิ้งอีกนิดหน่อย ได้เวลาเดินทางกลับโรงแรมแล้ว กลับแท๊กซี่เหมือนเดิม มาถึงห้องพักก็คุยกันกับเพื่อนว่า “ขืนเป็นแบบวันแรกไม่ไหวแล้วนะ หลงทางตลอด พรุ่งนี้เราต้องวางแผนกันว่าจะไปที่ไหนก่อน ไปยังไง” เพื่อนสาวเราก็เห็นด้วย ระหว่างคุยๆ กันอยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์ในห้องพักก็ดังขึ้น เราสองสาวมองหน้ากัน ใครโทรมาหว่า? ไม่รู้จักใครนี่นา รึจะเป็นเจ้าของโรงแรมโทรมาบอกอะไรซักอย่าง เพื่อนสาวยกหูโทรศัพท์ขึ้น แล้วคุยภาษาไทยจ๋อยๆ จับใจความได้ว่า มีหนุ่มไทย 3 คน ห้องพักตรงกันข้ามเดินทางมาเที่ยวเหมือนกัน เห็นเรามากันสองสาว ดูมั่นใจ นึกว่าแม่นข้อมูล เลยโทรมาสอบถามข้อมูลซะหน่อย ที่ไหนได้ ถามผิดคนแล้ววววววววจ้า เข้าทาง...ก็เลยขอจอยทัวร์ไปกับพวกพี่ๆ เขาซะเลย 5 คนก็ดีกว่าสองคนแหละว้าาาาาาาา นัดกันพรุ่งนี้เช้าเจอกัน 9.00 น.

                วันที่สอง เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม ทักทาย แนะนำตัว พี่สองคนเป็นผู้จัดการโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นสัตวแพทย์ซึ่งเกษียณอายุแล้วค่ะ แต่ยังวัยสะรุ่นอยู่นะค๊า พี่เขาบอกว่า อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น อืมมมมม เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ (อันนี้พูดจริง คิดจริง) พวกพี่ๆ พาเราสองสาวไปนั่งทานอาหารเช้าเป็นแฮมเบอร์เกอร์ กาแฟ ร้านเล็กๆ ข้างโรงแรมนี่เองค่ะ รสชาติใช้ได้ค่ะ วันนี้อากาศหนาวกว่าเมื่อวานค่ะ เราก็บอกพี่ๆ เขาว่า สงสัยไปไม่ไหว พี่ต้องพาไปซื้อเสื้อแจ็กเก็ตก่อนค่ะ พี่ๆ ก็ใจดีพาไปหาร้านเสื้อ แถมยังช่วยเลือกให้ด้วย ได้ยินเสียงพี่ๆ เขาแซวมาว่า “ดูแลดีกว่าลูกอีกนะเนี่ย พามาซื้อเสื้อแล้วยังต้องช่วยเลือกอีก” พี่ตากล้องมืออาชีพ (เพราะถ่ายรูปสวยมากๆ) แนะเราว่าต้องเอาเสื้อสีสดๆ นะ ถ่ายรูปขึ้น สีทึมๆ ถ่ายรูปไม่ขึ้นหรอก เราก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาดีเร้อ สีมันแสบมากเลยนะ เห็นชาวบ้านเขาใส่กันสีดำเป็นส่วนใหญ่ เราจะแหกคอกเขาเหรอ แต่ได้ยินแว่วๆ ว่าสีนี้แหละสวย ถ่ายรูปขึ้น เอ้า เอาก็เอา อยากถ่ายรูปสวยนี่นา สีนี้ก็สีนี้ ภาพมันฟ้องจากรูปค่ะว่าสีอะไร อิๆๆๆๆๆ พอเดินทางมากับพวกพี่เขา เอ้าาาา ทำไมมันเดินมาถึงซากประตูโบสถ์เซนด์ปอลได้ง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ ทีเมื่อวานเดินหายังไงก็ไม่เจอ ก็จัดการถ่ายรูปกันคนละแชะสองแชะ

วันนี้อากาศไม่ค่อยดีค่ะ ฝนเจ้ากรรมก็ตกมาปรอยๆ บางทีก็ตกหนักเลย แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว อย่าให้เสียเที่ยวค่ะ บ่ยั่นอยู่แล้ว วันนี้มีตากล้องอยู่ด้วย นางแบบพร้อม อิๆๆๆๆๆๆๆๆ เชิญชมภาพประทับใจท่ามกลางสายฝนและอากาศอันหนาวเหน็บค่ะ

หลังจากเที่ยวเสร็จก็แวะร้านขายของที่ระลึกเพื่อซื้อของฝากเพื่อนๆ ค่ะ (คอยกดดัน รอคอยของฝากอยู่ ไม่มีเดี๋ยวจะโดนโวยค่ะ) เสร็จแล้วเราทั้ง 5 คนก็เดินหาร้านอาหารเพื่อทานอาหารกลางวันกัน แล้วก็มาจบลงที่แม็คโดนัลด์อีกแล้ววววววววว พี่เขาคงไม่รู้ว่าเราสองสาวจัดการแม็คโดนัลด์ไปแล้วหนึ่งมื้อ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  หลังอาหารเที่ยงก็ร่ำลากันตรงนี้ เพราะเราสองสาวแพลนจะพักที่มาเก๊าแค่หนึ่งคืน และต้องเดินทางไปเช็คอินเข้าเกสเฮ้าส์ที่ฮ่องกงในวันนี้ก่อน 6 โมงเย็นไม่งั้นจะโดนยกเลิกการจอง ก็เลยต้องรีบ แต่พวกพี่ๆ เขาแพลนกันไว้ว่าจะพักมาเก๊าสองคืนแล้วจึงจะเดินทางไปฮ่องกง พวกพี่ๆ ไม่ได้จองห้องพักที่ฮ่องกงไว้ก็เลยฝากเราสองสาวดูห้องพักให้ด้วยว่าว่างมั๊ย ถ้าว่างให้จองไว้ให้ด้วย พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์เราไว้ เรารีบกลับเข้าห้องพัก จัดการเช็คเอ้าท์ ลากกระเป๋าผ่านร้านขนมทาร์สไข่ด้วย ซึ่งเป็นขนมที่ในหนังสือท่องเที่ยวแนะนำไว้ว่าเป็นขนมขึ้นชื่อของมาเก๊าต้องกินให้ได้ อยากกินก็อยากกินนะ แต่เริ่มจะเครียดแล้ว (ไม่รู้ว่ามาเที่ยวคลายเครียด หรือว่ามาหาความเครียดเพิ่มกันแน่) เพราะต้องออกไปผจญภัยตามลำพังสองสาวอีกแย้วววว เลยกินอะไรไม่ลง มองหาแท๊กซี่เพื่อเดินทางไปยังท่าเรือเฟอรี่ มาถึงท่าเรือ จัดการซื้อตั๋วเรือไปฮ่องกงฝั่งเกาลูนคนละ 140 HKD ค่ะ (First Ferry) เนื่องจากว่าอากาศไม่ดี ฝนตกหนัก ระหว่างทางคลื่นลมแรงค่ะ เรือก็เลยโคลงไปเคลงมา เพื่อนสาวเราไม่ชินกับการเดินทางแบบนี้ค่ะ เลยจัดการเอาของออกไปซะสองสามรอบ (อาเจียน) ส่วนเรามันลูกแม่ย่านางอยู่แล้ว สบายมั่ก มากๆ อิๆๆๆ มาถึงท่าเรือฝั่งเกาลูนต้องเดินทางต่อไปยังเกสเฮ้าส์ที่จองไว้ ตอนอ่านในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสายโน้นสายนี้ เดินออกทางโน้นทางนี้ ประหยัดและเร็ว ใจจริงก็อยากไปแบบนั้นแหละค่ะ แต่ไปไม่ถูก ใช้บริการเดิมค่ะ แท๊กซี่จ๋า อยู่ไหน มาด่วนจ้า….. เราพักย่าน Mong Kok ที่ Sincere House ชั้น 8 ค่ะ เป็นเกสเฮ้าส์ชื่อว่า Oi Suen เป็นการซอยห้องพักออกมาเป็นห้องเล็กๆ พอมาถึงก็จัดการเช็คอิน มีคุณลุงคอยดูแลอยู่ค่ะ พูดภาษาอังกฤษเก่งซะด้วย ราคาที่จองไว้ (จองทางอีเมล) อยู่ที่ 350 HKD/คืน เราจะพักที่นี่ 3 คืนค่ะ เพื่อนสาวเราก็เลยต่อรองราคาขอลดหน่อย คุณลุงลดให้เหลือ 340 HKD/คืนค่ะ อ้อนวอนขอลดมากกว่านี้แต่แกไม่ให้แล้วค่ะ  ห้องเราเป็นห้องเตียงคู่ มีหน้าต่าง ห้องเล็กมาก โดยเฉพาะห้องน้ำเล็กสุดๆ โถส้วมเนี่ยนั่งตรงๆ ไม่ได้เลยค่ะ หัวเข่าชนฝาห้อง ต้องนั่งเฉียงๆ ลำบากจัง :)

เก็บข้าวของเสร็จ สองสาวชวนกันไปช้อปปิ้งใกล้ๆ แถวที่พัก เดินกันไปเรื่อยๆ ด้วยความหิวข้าวก็เลยชวนกันหาร้านข้าวซึ่งจะแทรกอยู่ตามร้านค้าต่างๆ เราก็เดินกันมั่วเลย เข้าซอยโน้น ออกซอยนี้ก็ยังหาร้านที่ถูกใจไม่ได้ ก็เลยเดินวนไปเวียนมา เจอร้านที่ถูกใจล่ะ กินเลยดีกว่า เป็นก๋วยเตี๋ยวค่ะ เพื่อนสาวเรากินไม่ค่อยลงเพราะเขารู้สึกไม่สบายท้องหลังจากอาเจียนไปหลายรอบ ส่วนเราเกลี้ยงชามค่ะ หลังกินอาหารเสร็จก็ชวนกันเดินเล่นอีกนิดหน่อย จึงได้เวลากลับที่พักแล้ว เอาล่ะหว่า....ทำไงดีวะเนี่ย จำทางไม่ได้ซะแล้ว งัดแผนที่หากินออกมากาง ดูป้ายชื่อถนน เดินตามแผนที่ก็ยังหาที่พักไม่เจอซะที ถามทางกันวุ่นวาย เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก็ยังหาไม่เจอ จนเกือบจะถามคนแถวๆ นั้นอีกซักครั้ง หลังจากเดินเลี้ยวหัวมุมตึก อ้าววววววววว นี่มันที่พักเรานี่หว่า ดี๊นะที่ไม่ถาม.....ไม่งั้นอายเขาตายเลย ยืนอยู่หน้าตึกแล้วแท้ๆ (แต่แค่คนละด้าน) กลับเข้าห้องพัก เอาโพยท่องเที่ยวออกมาอ่าน เขาบอกว่า Ladies Market เป็นตลาดกลางคืนที่คึกคักที่สุด ต้องมาเดินให้ได้ จะได้กลับไปบอกเพื่อนได้ว่าไปมาแล้ว เราก็จะเอามาศึกษาดูว่าเราจะไปยังไงดี ปรากฏว่าเอ้า........ที่เราไปเดินหลงอยู่เมื่อตะกี้น่ะ มันเป็น Ladies Market นี่เอง ไปเดินโดยไม่รู้ตัว อิๆๆๆๆ คืนแรกเพื่อนสาวเราอาบน้ำก่อน เราอาบคนที่สอง เครื่องทำน้ำอุ่นมันชักแปลกๆ ใช้ไปซักพักมันเหมือนจะตัดระบบทำความร้อน ทำให้น้ำไม่อุ่น ซวยล่ะซิ หนาวก็หนาว กัดฟันอาบให้มันเสร็จๆ ไปละกัน สรุปว่าใครอาบคนที่สอง ซวย.... เพราะน้ำไม่อุ่น เพราะฉะนั้นเราก็เลยจัดสรรความซวยกันว่าตอนเย็นเพื่อนสาวอาบก่อน ส่วนตอนเช้าเราอาบก่อน อาบน้ำเสร็จ เราก็เลยมาทำการบ้านต่อ มาวางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปที่ไหน ยังไง คืนนี้ก็เลยหลับคาหนังสือท่องเที่ยวเลยค่ะ ไม่รู้ใครอ่านใครกันแน่.....

                วันที่สาม ตื่นเช้ามาหลังจากอาบน้ำ กินข้าวเช้ากันเสร็จ เราก็บอกเพื่อนว่าวันนี้ไปย่าน Causeway bay แถวๆ ห้าง Sogo ในตำราบอกว่าอยู่ปลายสุดถนนนาธาน (Nathan Road) เราก็ว่างั้นเราเดินไปละกัน เดินตามถนนนาธานนี่แหละ แล้วเราก็เดินๆๆๆๆ ก็ยังหาไม่เจอซะที ถามคนนั้นก็ไม่รู้ คนนี้ก็ไม่รู้ คิดในใจว่าตกลงมันอยู่เมืองนี้หรือเปล่าหว่า ทำไมไม่รู้กันเลย เดินจนเหนื่อย งั้นแวะหยุดพักที่สวนสาธารณะริมถนนก่อนดีกว่า (ตามรูป)

ไม่ไหวล่ะ ขืนเดินไปมากกว่านี้หลงทางยิ่งกว่านี้แน่นอน ก็เลยลงความเห็นกับเพื่อนสาวว่าโทรศัพท์หาพวกพี่ๆ ดีกว่า รอไปพร้อมพี่เขาดีกว่า กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “สวัสดีค่ะ xxx กับ xxx นะคะ พวกพี่จะมาถึงฮ่องกงเมื่อไหร่คะ อ๋อมาบ่ายๆ เหรอคะ งั้นจะแวะไปรอที่ห้องพักนะคะ แล้วเจอกันค่ะ” กลับมารอพวกพี่ๆ เขาที่ห้องพักค่ะ เมื่อยขามากๆๆ เดินแทบไม่ไหวเลย ครึ่งเช้านี้เสียพลังงานไปเยอะมากๆ หลังจากพวกพี่ๆ มาถึงที่พัก เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว พี่ๆ ก็เลยบอกว่าวันนี้จะไปที่นี่ ที่โน้นนะ เราไปแท๊กซี่กันดีกว่า เพราะว่าหาร 5 แล้วราคาก็อาจจะพอๆ กับรถไฟฟ้าใต้ดินแหละ โอเค เอาไงเอากัน ตามนั้นเลยค่ะ นั่งแท๊กที่มาลงแถวๆ จิมซาโจ่ย (Tsim Sha Tsui) ค่ะ

มันอยู่แถวๆ ถนนนาธาน แต่เป็นนาธานคนละทิศกับที่เราเดินเมื่อเช้าเลยค่ะ เหมือนเราเดินขึ้นเหนือ แต่มันอยู่ทางทิศใต้ค่ะ แล้วไกลจากที่พักใช้ได้เลยค่ะ พี่เขาก็เลยแซวว่า “นี่ถ้าเธอเดินมานะ พรุ่งนี้คงจะถึงหรอก” หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมา ชมเมือง ชมร้านค้าแถวๆ ย่านนี้ไปเรื่อยเปื่อย พี่เขาก็เลยเสนอความเห็นว่าเราไปหาร้านนั่งจิบกาแฟกินชิวๆ กันดีกว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ หนาวๆ แบบนี้ได้กาแฟรสชาติดีๆ อุ่นๆ คงจะดีไม่น้อย หลังจากจิบกาแฟกันเสร็จแล้ว เราก็เดินออกไปที่ Victoria Harbor ค่ะ เพื่อมาชม Avenue of Stars ของเมืองฮ่องกงกัน สวยมากเลยค่ะ บรรยากาศดี๊ ดี มองเห็นตึกฝั่งฮ่องกงได้ชัดมาก พอมาถึงตรงนี้ สองสาวดีดตัว เตลิดหายออกไปถ่ายรูปกันอยู่สองคน ทิ้งหนุ่มๆ ไว้ข้างหลัง อิๆๆๆ แชะตรงโน้น แชะตรงนี้ บางครั้งก็แอบถ่ายคนหล่อๆ ไว้ด้วย (เช่นรูปตัวอย่าง อิๆๆ)

หลังจากถ่ายรูปกันจนอิ่มหนำสำราญใจแล้วก็เลยไปหาร้านกาแฟกันรอบสอง เพื่อรอชม Symphony of Light ซึ่งจะเริ่มเวลา 2 ทุ่มตรง ความยิ่งใหญ่ตระการตาของการแสดงได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสบุ๊คว่าเป็นการแสดงแสงสีเสียงถาวรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาแสดงประมาณ 15 นาที หลังจากการแสดงเสร็จสิ้นแล้ว บางเสียงก็ว่าไม่อลังการดังใจคิด บางเสียงก็ว่าก็โอเค (เสียงฉันเองค๊า) มาถึงตอนนี้ก็เป็นเรื่องของท้องแล้ว มันเริ่มจะหิวข้าวแล้วค่ะ เราทั้ง 5 คนก็เดินกันไปเรื่อยๆ หาร้านอาหาร เจอแล้ว เอาร้านนี้แหละ ว้าววว มีเมนูอาหารเป็นภาษาไทยด้วย พวกเราสั่งกับข้าวมากัน 3-4 อย่าง อาหารที่นี่ส่วนมากจะจืดๆ มันๆ เลี่ยนๆ ค่ะ เราก็เลยกินได้ไม่มาก (เพราะปกติเป็นคนชอบอาหารรสชาติจัดๆ) พี่ๆ เห็นก็เลยแซวเราสองสาวว่า “กินข้าวยังกะแมวดม” เราก็ได้แต่ยิ้มๆ หารู้ไม่ว่า สมัยเรียนอยู่น่ะ น้องๆ ผู้ชายมันตั้งฉายากลุ่มเราว่า “แก๊งค์กินโหด” ก่อนจะไปกินข้าวแต่ละครั้ง จะต้องถูกแซวว่า “เจ๊...วันนี้จะไปทำสงครามที่ไหนกัน” ดู๊ ดู ดูมันพูด เสียหายหมด ขายไม่ออกกันพอดี..... (ถ้าพี่ๆ มาอ่านบันทึกนี้แล้ว คงรู้ความจริงกันพอดี :)) กินเสร็จก็นั่งแท๊กซี่กลับเข้าที่พัก แยกกันกลับเข้าห้องใครห้องมัน นัดเจอกันพรุ่งนี้ 9.00 น. ค่ะ กลับมาก็ผจญเวรผจญกรรมกับเครื่องทำน้ำอุ่นอีก บางทีก็ร๊อน ร้อน ร้อนจนน้ำลวกมือเลยค่ะ บางทีก็เย็นจนถึงขั้วหัวใจ เข้าห้องอาบน้ำแต่ละทีเหมือนเข้าไปเล่นเกมส์ ว่าน้ำมันจะร้อนหรือจะเย็นหว่า....

                วันที่สี่ วันนี้พวกเราจะไปที่วัดพระใหญ่โปลินกันค่ะ พี่เขาเสนอความคิดว่าให้ลองนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินดู ก็จัดการซื้อตั๋วกันมา 5 ใบ สถานที่เราจะไปต้องไปเปลี่ยนรถอีกขบวนหนึ่งจึงจะถึงจุดหมาย พอได้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินทำให้รู้ว่า รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นช่องทางการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัดมากเลยค่ะ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด พอถึงแต่ละสถานีจะมีเสียงประกาศเป็นทั้งภาษาจีนและอังกฤษ หรือจะดูสัญญาณไฟกระพริบบนแผนที่ในรถไฟฟ้าก็ได้ค่ะ ตอนแรกที่เราสองสาวมาถึงฮ่องกงก็ไม่กล้าขึ้นเลย เพราะจากที่อ่านตำรามันบอกว่ามีด้วยกันหลายสาย กลัวขึ้นผิดขึ้นถูกแล้วจะหลงทาง...แหม หลงเข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน กว่าจะรู้ก็จะกลับบ้านแล้วซะนี่... อ่ะ มาถึงแล้วสถานีปลายทางของเรา (จำชื่อสถานีไม่ได้ค่ะ) รู้แต่ว่าปลายทางมีห้าง City Gate Outlets อยู่ เป็นแหล่งรวมของแบรนด์เนมลดราคามากกว่า 50% และเราก็หมายตาไว้แล้วว่า วันนี้ก่อนกลับที่พักต้องแวะมาช้อปปิ้งให้ได้

มาถึงพี่ๆ ก็ไปสำรวจราคาว่าเราจะเดินทางไปวัดพระใหญ่โปลินกันอย่างไร มีอยู่สองทางเลือกคือหนึ่งโดยเคเบิ้ลคาร์ เร็ว วิวสวย ชมวิวทิวทัศน์ได้ชัดเจน แต่แพง และสองเดินทางโดยรถบัส ช้ากว่า ทางคดเคี้ยว ขึ้นเขา ลงห้วย แต่ถูก สรุปเปรียบเทียบอย่างหลังคือ “ถูก” ไปรถบัสนี่แหละประหยัดดี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงวัดพระใหญ่โปลินแล้วค่ะ ที่นี่อากาศดีมาก มีแสงแดดอุ่นๆ น่าเดินเที่ยวดีค่ะ ตามกันมาเลยค่ะ อย่างแรกก็ไปไหว้พระใหญ่กันก่อน

ขึ้นบันไดสูงๆ นี้แหละค่ะ พี่เขานับมาแล้ว เห็นว่ามี 200 กว่าขั้นค่ะ ส่วนเราไม่มีเวลานับ เพราะมัวแต่ถ่ายรูปตลอดทาง พอขึ้นมาถึงก็ผลัดกันถ่ายรูปเอาบรรยากาศ

 

หลังจากลงมาข้างล่างแล้ว เราก็แวะเดินเล่นไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ค่ะ

จนเลยเวลาเที่ยงไป ท้องก็เริ่มร้อง ต้องหาอะไรกินซะหน่อยแล้ว ก็เลยชวนกันกลับไปที่หมู่บ้าน Ngong Ping Village

ตลอดสองข้างทางจะเป็นร้านขายของที่ระลึกค่ะ เราก็เดินแวะร้านโน้น ออกร้านนี้แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาซักอย่าง จนไปสุดถนนก็เป็นร้านอาหารค่ะ หลังจากเลือกร้านที่พอใจได้แล้วก็สั่งอาหารของใครของมัน เฮ้อ มีแต่อาหารมันๆ เลี่ยนๆ อีกแล้ว กินได้นิดหน่อย ดีเหมือนกัน จะได้ลดน้ำหนักไปในตัว :)

นั่งชิวๆ กันไปเรื่อยๆ พี่เขาว่าจะชวนไปหมู่บ้านชาวประมงต่อ แต่หลังจากดูเวลา มันบ่ายสามแล้วนี่นา คงไปแล้วกลับไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายแน่เลย ก็เลยชวนกันกลับดีกว่า ระหว่างทางบนรถโดยสาร เราก็จัดการล้วงกระเป๋าเพื่อเปลี่ยนจากแว่นกันแดดเป็นแว่นสายตา (สายตาสั้น) ล้วงไปล้วงมารอบแรก หาไม่เจอ รอบสองไม่เจอ รอบสามก็ไม่เจอ แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แว่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว เป็นแว่นอันโปรดด้วยซิ ชอบมาก ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเราเตือนเพื่อนสาวตลอดเวลาให้ระวังของในกระเป๋าหล่นหายนะ เพราะกระเป๋าเพื่อนตื้นและเล็ก ส่วนกระเป๋าเราลึกและใหญ่ แต่ไหงของของเรามาหายซะได้ เวรกรรมเจงๆๆๆ เริ่มอารมณ์ไม่ดีและ (ตอนนั้นยังทำใจไม่ได้) พอมาถึงปลายทางคือห้าง City Gate จากที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะช้อปกันให้แหลกลาญกันไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ซะแล้ว ก่อนออกไปช้อปก็ทำพันธะสัญญากันไว้ว่าให้เวลา 1 ชม. แล้วกลับออกมาเจอกันที่หน้าห้าง หลังจากนั้นก็กระจัดกระจายกันไปทางใครทางมัน (แต่ความสัมพันธ์คงเดิม เป็นสโลแกนของเพื่อนคนหนึ่ง ขอยืมมาใช้หน่อยนะจ๊ะ) เราก็อารมณ์เสียค้างอยู่ และเมื่อไม่มีแว่นสายตาแล้ว มันก็มองอะไรไม่ค่อยชัด ก็เลยพาลขี้เกียจเดินซะงั้น เดินไปเดินมาก็เลยได้แค่นาฬิกากลับมา เดินช้อปปิ้งเสร็จเริ่มทำใจได้แล้วเรื่องของหาย เพราะคิดได้ว่า ก็ดีเหมือนกันที่ของหายเป็นแค่แว่นตา ถ้าเกิดกระเป๋าตังค์หายล่ะ จะเอาเงินที่ไหนไปเที่ยว หรือถ้าพาสปอร์ตหายล่ะ จะกลับบ้านยังไง สุดท้ายดีแล้วล่ะที่ของสำคัญกว่านี้ไม่หายไปด้วย เอาวะ..เป็นการฝากแว่นตาไว้ที่ฮ่องกงแล้วกัน แหม..เป็นฝากหัวใจไว้ที่ฮ่องกงหน่อยก็ไม่ได้ อิๆๆๆๆ ต่อจากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้ากลับเหมือนเดิมค่ะ มาถึงห้องพักแวะพักผ่อนซักนิดนึง แล้วก็ออกไปกินข้าวเย็น แล้วแวะช้อปปิ้งที่ Ladies Market อีกซักหน่อย (มาทุกคืนเลย) มาถึงตรงนี้ก็ทางใครทางมันอีกแล้ว เรากับเพื่อนสาวก็หาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เป็นของฝากเพื่อนๆ ค่ะ อ้อ ราคาของที่นี่ต้องต่อแบบให้ต่ำกว่าครึ่งไว้ก่อนนะคะ เพราะแม่ค้าบอกไว้สูงมาก คงเห็นเราเป็นคนต่างชาติ เลยต้องบอกสูงๆ ไว้ก่อน หลังจากเดินหาซื้อของจนเป็นที่พอใจแล้วก็กลับเข้าห้องพักค่ะ เราสองสาวนอนปิดแอร์ปิดหน้าต่างทุกคืนค่ะ เพราะหนาวมาก เปิดแต่พัดลมระบายอากาศเอาไว้ กลัวหายใจไม่ออก

                วันที่ห้า วันสุดท้ายแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะซิ ยังไม่อยากกลับเลย รู้สึกเหมือนยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ก่อนกลับก็ถ่ายรูปหน้าตึกที่พักเป็นที่ระลึกซะหน่อย

แวะไปกินข้าวเช้ากับพี่ๆ เขาก่อน เสร็จแล้วก็ร่ำลา ขอบคุณกันซะตรงนี้ พวกพี่ๆ ก็แยกไปเที่ยวกันต่อ (กลับบ้านวันรุ่งขึ้น) ทีนี้ก็ถึงเวลาที่สองสาวต้องลากกระเป๋ามาขึ้นเรือเฟอรี่กลับมาเก๊าฝั่งเกาะไทปาค่ะ ขากลับเราใช้บริการเรือเฟอรี่ของ Cotai Jet ค่าโดยสารคนละ 134 HKD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.ค่ะ ท่าเรือที่มาเก๊าฝั่งเกาะไทปาอยู่ติดกับสนามบินมาเก๊าเลยค่ะ นั่งแท๊กซี่มาสนามบินใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที มาถึงก็จัดการเช็คอิน โหลดกระเป๋า และในที่สุดก็เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิซะที เรากับเพื่อนสาวก็เดินตรงรี่ลงไปหาอาหารไทยรับประทานกันเลยทันทีค่ะ สั่งมาคนละอย่างสองอย่าง กินให้หายอยากกันไปเลย หลังจากนั้นฉันก็มาเช็คอินเพื่อจะเดินทางกลับบ้านที่สงขลาต่อค่ะ ส่วนเพื่อนสาวของเราก็ไปเคลมค่าตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชียคืนค่ะ (จองไว้ 3 คนแต่ไม่ได้เดินทาง 1คน) จาก 1900 บาท ได้คืนกลับมาตั้ง 1275 บาทแน่ะค่ะ ดีเนอะ นึกว่าเป็นตั๋วโปรโมชั่นแล้วจะเคลมคืนไม่ได้ซะอีก (ส่วนที่ได้คืนน่าจะเป็นค่าภาษีสนามบินค่ะ) และแล้วก็ถึงเวลาที่สองสาวเพื่อนรักต้องลากันแล้วล่ะค่ะ ทางใครทางมัน แต่ยังรักกันเดิม :) ทุกคนเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แล้

หมายเลขบันทึก: 346018เขียนเมื่อ 21 มีนาคม 2010 15:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (51)

พี่อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกสนานเฮฮา เสียแต่ลงภาพน้อยไปหน่อย เตรียมตังค์ไว้ตลุยกันทริปหน้ากันดีกว่านะ ว่าแต่จะไปไหนกันดีล่ะ

ขอบคุณพี่ youreyeonly ที่อ่านจนจบค่ะ ไม่กล้าลงภาพเยอะ กลัวว่าจะใช้พื้นที่เยอะ และทำให้โหลดช้า เดี๋ยวจะเริ่มเก็บตังค์ไว้ตลุยทริปหน้านะคะ พี่มีที่ไหนมานำเสนอมั๊ยคะ?

อ่านแล้ว หนุกดีวะ เขียนเก่งนะเนี่ย

ขอบใจจ๊ะเพื่อนรัก ไว้ค่อยเก็บเงินไปเที่ยวกันอีกนะ

พี่คะ

ตำแหน่ง Rig Coordinator/Clerk ที่พี่ทำ ทำด้านไหนบ้างคะ ทำเกี่ยวกับอะไรบ้าง

ขอบคุณนะคะ

อยากทำงานในทะเลค่ะ แต่จบด้านบริหารธุรกิจมา นอกจากตำแหน่งนี้แล้วมีตำแหน่งอะไรอีกบ้างรึเปล่าคะ

ขอบคุณค่ะ

ทำงานอยู่ในส่วน Admin ด้านความปลอดภัยในการทำงานค่ะ

นอกจากตำแหน่งนี้ ก็ไม่มีตำแหน่งอื่นที่เป็นผู้หญิงแล้วล่ะค่ะ มีแต่ผู้ชายค่ะ

อ่านจบแล้วจ้าออ สนุกดีจ้า อยากไปเที่ยวบ้างจังเลย....อิอิ

ขอบใจนะจ๊ะโต้งที่แวะเข้ามาน่ะ มิเสียแรงที่ซื้อของมาฝาก อิๆๆๆ

หวัดดีครับ คุณออ ผมอ่านแล้วก็สนุกดีน่ะครับ ได้ไปพักผ่อน แล้วยังได้เพื่อนใหม่อีกนะครับ

สวัสดีค่ะคุณ visutl ดีที่เจอเพื่อนใหม่ค่ะ ไม่งั้นคงเครียดมากกว่าสนุก :)

สวัสดีครับ คุณchopper อ่านเรื่องของคุณสนุกมาก และมีประโยชน์ด้วย พอดีว่าทำงาน offshore เหมือนกัน ผมอยากทราบว่าตำแหน่งงานcrane operator deck crew เอเยนต์ เป็นของบริษัทไหนครับ อยากไปทำงานบนริกจัง พอดีว่าผมขับเครนอยู่บนเรือfpsoนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

สวัสดีค่ะคุณ pex

ตำแหน่งงานcrane operator และ deck crew เป็นของซีดริลทั้งหมดค่ะ

ตำแหน่งงานcrane operator และ deck crew เป็นคนไทยหรือเปล่าครับ

ตำแหน่งงาน crane operator และ deck crew เป็นคนไทยทั้งหมดค่ะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านเรื่องราวดีๆ ด้วยคนนะคะ

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันค่ะ^__^

สวัสดีค่ะคุณ ต้นเฟิร์น

ด้วยความยินดีค่ะ

อ่านรวดเดียวจบเลยจ๊ะ..เพื่อนรัก

เขียนเก่ง ละเอียดดี อ่านแล้วสนุกมากเลยจ๊ะ เหมือนได้ร่วมทริปด้วยเลย

ชอบๆ จ๊ะ ::-)

ขอบใจที่ชมจ้า เบบี๋...เพื่อนรัก

เก่งจังอ่านรวดเดียวจบ เพราะเราเขียนยาวมากๆ :)

ไว้เราไปทริปคาเมรอนกันเดือน พ.ค.นี้นะจ๊ะ

สวัสดีค่ะ เจ๋งไปเลยค่ะพี่ออ เขียนสนุกดีค่ะ

สวัสดีค่ะ

        มาเที่ยวด้วยคนค่ะ...อ่านแล้วสนุกมาก...ทริปหน้าชวนด้วยนะคะ

หวัดดีครับ คุณออ ตอนนี้อยู่บน Rig หรือเปล่าครับ สงกรานต์ได้อยู่บนฝั่งหรือเปล่าครับ

ยังงัยก็ขออวยพรวันปีใหม่ไทย ให้มีความสุขมากๆๆน่ะครับ

สวัสดีค่ะน้องกิ๊ฟ พี่มาตายี และคุณ Visutl

ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ

สงกรานต์นี้อยู่บนฝั่งค่ะ แต่คงไม่ได้ไปเล่นสาดน้ำ เพราะกลัวแดด แล้วก็กลัววัยรุ่นสมัยนี้ด้วยค่ะ เล่นกันแรงเหลือเกิน คงไปวัด ทำบุญ แล้วก็มานอนดูชาวบ้านเล่นน้ำในทีวีแหละค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคำอวยพร ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันปีใหม่ไทยเช่นกันค่ะ

สวัสดีคะคุณออ ปุ๊กเอง จำปุ๊กได้มั้ยคะ...ไม่ค่อยว่างเลยคะ วันนี้มีโอกาสแวะเข้ามาดู...เจอทริปมาเก๊าเลย น่ารักมาก

อิอิ..เพื่อนคุณออน่ารักจัง วันนี้ขอดูรูปอย่างเดียวนะคะ พรุ่งนี้จาเข้ามาอ่านให้ละเอียดเลย

คิดถึงคะ

สวัสดีค่ะคุณปุ๊ก จำได้ค่ะ

สบายดีนะคะ

ว๊าวววว!! ดีใจจังที่คุณออจำได้ อ่านแล้วนึกถึงตัวเอง อิอิ ก็ก๊วนเพื่อนปุ๊กก็มีสัญญาใจแบบนี้เหมือนกัน...นัดกันไปเที่ยวนอนคุยกัน

ที่ไหนก็ได้ที่มีพวกเรา ( ในที่นี้มีกันอยู่ 5 คนคะ คบกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เจอตอนไหนไม่บอกเดี๋ยวคุณออจาเดาอายุถูก 555 )

ปีนี้ไปปากช่องมาคะ ยังไม่มีโอกาสรวมตัวไปต่างประเทศซะที...ไปไหนกับคนที่รู้ใจก็ดีเหมือนกัน เจออุปสรรคอะไรก็พร้อมจาลุยด้วยกันเสมอ

" อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนกับเกลือมีน้อยด้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล "

ให้คุณออคะ เก็บเพื่อนดีดีและความรู้สึกเหล่านี้ไว้นะคะเพราะนึกถึงเมื่อไร สุขใจทุกที

สวัสดีคับ ตอนนี้ทำเรือบรรทุกน้ำมันอยู่อยากทำงานแบบพี่คับพอจะได้ไหม

สวัสดีครับ ไปเที่ยวหนุกป่าวครับ เขียนได้ดีนะ ทำให้นึกภาพออกเลยตอนผมไปมาเลครั้งแรก

เด๋อๆด๋าๆกว่าพี่อีกครับ นั่งอ่านเพลินจนไม่ได้ทำงานเลยพอจบเที่ยงซะและ อิอิ ไปกินข้าวก่อนครับ

ขอบคุณคุณปุ๊กมากค่ะสำหรับกลอนแง่คิดดีๆ เดี๋ยวพักคราวนี้จะไปเกาะเต่า เกาะนางยวน หมู่เกาะอ่างทองค่ะ แต่ไม่ได้ไปกับเพื่อนคนเดิมนะคะ ไปกับเพื่อนอีกก๊วนนึงค่ะ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนป.ตรีค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ dice ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ

ดีค่ะ พี่ออ

วินนี่ไม่ได้ทักทายพี่ออตั้งนาน ยุ่ง ๆ เหมือนกันค่ะ พอดีย้ายที่ทำงานใหม่ แล้วเค้าเข้มเรื่อง Internet วินนี่เรยต้องแอบเล่น 5555 พี่ออสบายดีป่าวคะ แหม ไปเที่ยวซะลืมน้องเร้ยยย น่าอิจฉาเจง ๆ วินนี่อ่านจบแล้วก็อยากไปมั่งอ่าคะ เจออุปสรรคนิด ๆ หน่อย ๆ มันเพิ่มรสชาติ หนุกดีนะ วินนี่ว่า อิ อิ

พี่ออจะไปเกาะนางยวนช่วงไหนอ่าคะ เดี๋ยวก็หน้าฝนแล้วนี่นา ไม่กลัวเจอพายุหรอ?? อิ อิ (อย่าบอกว่าเจอจนชินแล้วนะ^ ^)

จิง ๆ วินนี่ก็อยากไปมั่งอ่าคะ แต่คงลางานไม่ได้ T_T แง ๆ (พี่ออให้ไปรึป่าวยังไม่รู้เรย อิ อิ)

ยังไงวินนี่ก็เป็นกำลังใจให้พี่ออเสมอนะคะ (อาจจะแว๊บหายไปบ้าง) ทุกปัญหามีทางแก้ไขเนอะ ดูวินนี่สิ ยังแก้ปัญหาเรื่อง Internet ที่ทำงานได้เรย 555 มันน่าภูมิใจป่ะเนี่ย

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

น้องวินนี่

สวัสดีจ๊ะน้องวินนี่

สนใจไปไปเที่ยวเกาะเต่าด้วยกันมั๊ยล่ะจ๊ะ

พี่ออจะไปช่วงเดือนไหนอ่าคะ เผื่อวินนี่สนใจ อิ อิ ^ ^

สวัสดีค่ะพี่ออ คือหนูอยากทำงานออฟชอร์เหมือนพี่ค่ะ(พวกขุดเจาะ เค้าเรียก upstream รึป่าว?) แล่ววิศวกรเค้ารับเฉพาะ ปิโตรเลียมรึป่าวค่ะ และอยากทราบว่าพี่จบวิศวกรรมสาขาอะไร และ ม.อะไรค่ะ และที่สำคัญ ต้องว่ายน้ำเป็นมั้ยค่ะ

พอดีหนูว่ายน้ำไม่เป็นอ่ะ T[]T สอนตอบด้วยนะค่ะ

ทริป น่าสนุกมากเลยอ่ะคร่า..กะลังหาที่ชวนแฟนไปเที่ยวเหมือนกัน ก้เลยได้เพิ่มมาอีก หนึ่งตัวเลือก

ตอนนี้ โปรหางแดงก้กะลังจะออกด้วย..วู๊วๆๆ

แล้วจาเกบบล๊อกนี้ไว้เปนไกด์ ด้วยนะคะ ^-~

ด้วยความยินดีค่ะคุณ maii

พี่ออไปเที่ยวมาน่าจะสนุกนะค่ะดีและละค่ะที่พี่ไปเที่ยวเพราะพี่ทำงานหนักมามากแล้วสมควรให้รางวัลแก่ชีวิตินะค่ะดาวมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่หนึ่งคนทำงานในทะเลเหมือนพี่เลยชื่อจารุวัฒน์ รัชชตะพิพัฒน์สกุล (พี่น้ำ)พี่ออรู้จักไหมค่ะถ้ารู้จักฝากความคิดถึงด้วยพี่ออค่ะเมื่อก่อนน้องดาวก็ทำงานบ.djค่ะแต่ตอนนี้วางงานอยากทำงานเรือน้ำมันอีกดาวชอบงานนี้มากค่ะดาวต้องทำอย่างไรถึงจะได้ทำงานนี้ค่ะเพราะส่วนมากจะไรบประกาศสมัครงานเกี่ยวกับผู้หญิงเลยช่วยตอบดาวด้วยนะค่ะ [email protected] จะรอคำตอบจากพี่คนเก่งของน้องนะค่ะ ดาว

สวัสดีค่ะน้องดาว

ไม่รู้จักคุณน้ำค่ะ

ส่วนเรื่องงาน พี่ขอโทษจริงๆ นะคะ อันนี้ตอบจริงๆ เลย พี่ไม่ทราบเลยว่าที่ไหนรับสมัครงานบ้าง น้องดาวคงต้องหาข้อมูลเอาเองแล้วล่ะค่ะ หลายคนถามเข้ามาว่าที่ไหนรับสมัครงานบ้าง ก็ต้องตอบแบบนี้ทุกครั้ง เพราะไม่ทราบจริงๆ ค่ะ

ไม่เป็นไรค่ะพี่น้องจะพยายามต่อไปค่ะแล้วตอนนี้พี่อยู่บนฝั้งหรือในทะเลค่ะ

ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะค่ะเป็นห่วงนะค่ะ

หนูจบมาสาขาเดียวกับพี่เลย

หนูอยากทำงานเหมือนพี่บ้างจังเลย

อยากรู้ว่าหนูต้องเริ่มต้นยังไงค่ะ

พี่ไปสมัครงานที่ไหนค่ะ ถึงได้ลงไปทำงานที่กลางทะเล

ช่วบตอบหนูหน่อยได้ไหมค่ะ

เป็นงานที่หนุไฝ่ฝันมานานแล้ว

แต่ไม่รู้จะหาคำปรึกษาจากใคร

รบกวนพี่ช่วยตอบหนู่หน่อยน่ะค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

งานแบบที่พี่่ทำอยู่มีอยู่ที่เดียวค่ะคือบริษัทซีดริล แล้วตอนนี้ตำแหน่งก็เต็ม ไม่มีตำแหน่งว่างเลยล่ะค่ะ ถ้าอยากจะสมัครไว้ก็ลองไปติดต่อบริษัทซีดริลที่สงขลาดูค่ะ

เพื่อนก้วยนี้เหรอเนี่ยถึงว่าตอนแรกหน้าคุ้น ๆ

เป็นเพื่อนก้วยนี้ค่ะ เป็นเพื่อนที่คบมานานที่สุดเลย :)

ก้วยนี้ เอ็มมาถามแล้วหล่ะ โลกกลมจัง เราเป็นเพื่อนก้วยตอนมัธยมต้น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ยินดีที่ได้รู้จักนะ

อยากจาถามว่า ต้องจบป. ตรี ป. โท สาขาอะไรครับถึงจาได้เรียน offshore

อยากรู้มากมากเลยครับ

ตอบกลับที่ [email protected]

ขอบคุณมากมากครับ

ก็ต้องแล้วแต่ตำแหน่งงานค่ะ เพราะงานออฟชอร์มีหลายร้อยตำแหน่งเลย

สวัสดีค่ะพี่ออ

ไม่รู้ว่าพี่จาจำนู๋ได้หรือป่าวที่เคยถามเกี่ยวกับความหมายของริค กะแท่นเจาะน้ำมันอ่ะค่ะ

นู่อยากให้พี่ออช่วยตอบนู๋หน่อยว่าพี่เรียนจบอาไรมาถึงได้ทำงานในทะเลได้ค่ะ แต่นู๋ก้อ

คงไม่เริ่มเรียนใหม่แล้ว ตอนนี้นู๋เรียนเกี่ยวกับการจัดการค่ะ แต่อยากทำงานในทะเล ซึ่ง

สามารถเรียนต่อโทได้หรือป่าว แต่ถ้าไม่ได้ทำก้อไม่ได้คิดอาไรหรอกค่ะ ทำใจไว้แล้ว

แล้วทำงานในทะเลได้มีตำแหน่งอาไรบ้างสามารถดูได้ที่เวปไหนค่ะ รบกวนบอกนู๋แนนทีค่ะ

ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะค่ะ

สวัสดีค่ะนู๋แนน

พี่เรียนจบด้านการจัดการมาค่ะ ตำแหน่งที่พี่ทำอยู่ ณ ตอนนี้เรียนจบอะไรมาก็ทำได้ค่ะ แต่ต้องฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ ได้ (ดี) หน่อยนะคะ เรื่องเรียนต่อโท พี่ก็คิดว่าเรียนจบตรีอะไรมาก็ต่อโทได้ทั้งนั้นแหละค่ะ อาจจะมีเงื่อนไขนิดหนึ่งว่า ป.โทที่น้องอยากเรียนน่ะ เป็นด้านไหน ส่วนเรื่องตำแหน่งในทะเล พี่ก็ไม่เคยเห็นเว็บไหนบอกไว้นะคะ (แต่ก็ไม่แน่ใจ น้องแนนลง search หาดูอีกทีก็ได้ค่ะ)

ขอบคุณค่ะ

แล้วพี่ออเรียนการจัดการ ก้อแสดงว่าพี่ออทำงานในทะเลเกี่ยวกับเอกสารใช่ป่าวค่ะ แสดงว่าถ้าคิดจาไปทำงานในทะเล ภาษาก้อต้องเปงหลักใช่มั้ยค่ะ แล้วที่พี่ออเรียนการจัดการ เอกอะไรหรอค่ะ (การจัดการทั่วไปหรือป่าวค่ะ)

ขอบคุณค่ะ พี่ออใจดีจัง พี่ให้คำปรึกษากับทุกคนเลยค่ะ นู๋อ่านนั้งแต่เริ่ม จนฉบับล่าสุดแล้ว แต่ในทะเลตอนกลางคืนที่เปิดไฟคงสวยมากเลยนะค่ะ ช่วงนี้พายุมาอย่างแรง รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

ใช่ค่ะ พี่ทำงานด้านเอกสารเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องค่ะ ภาษาก็ต้องเป็นไปอย่างที่บอกไว้ ซึ่งเราทุกคนฝึกฝนกันได้ค่ะ

พี่เรียนเอก คอมพิวเตอร์ธุรกิจมาค่ะ (ดูได้จากประวัติ เมนูข้างบนน่ะค่ะ)

ขอบคุณน้องแนนนะคะที่ติดตามบันทึกของพี่ทุกตอนเลย

เจอโดยบังเอิญ เขียนเล่าเรี่องได้น่าอ่านมากๆเลยนะ

แองจี้เองเหรอ ขอบใจจ้า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท