คนละโลก … เดียวกัน


 

ในช่วงสัปดาห์นี้ คงไม่มีเรื่องราวใดๆ ที่น่าสนใจเท่าเหตุการณ์บ้านเมืองของเรา และดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นที่วิตกกังวลของใครหลายๆคนทีเดียว การแบ่งแยก การแบ่งสียังคงมีต่อไป และได้ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ และมันค่อนข้างชัดเจนว่าความเห็นที่แตกต่างกันของชาวสยามหมู่หนึ่ง ได้ทำให้เกิดการแยกสี แยกหมู่ จนไม่สามารถที่จะรับฟังและเข้าใจกันได้เป็นที่แน่นอนแล้ว

เราทั้งหลายอยู่ในโลกของความคิดเห็น อยู่ในโลกของมุมมองส่วนตน เราอยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้ แต่เต็มไปด้วยความหลายหลาก และเต็มไปด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกันมากมาย แถมยังมีมุมมองต่อโลกกันคนละแบบ จึงไม่แปลกที่ เรานั้นเหมือนอยู่คนละโลก ทั้งๆที่ความจริงเราทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน อยู่อาศัยในโลกอันแท้จริงใบเดียวกัน

ปกติแล้วในมุมมองทางการเมือง ในมุมมองทางสังคม ในมุมมองของชีวิต เราแต่ละคนนั้น ย่อมมีความต่าง เพราะมันขึ้นกับประสบการณ์ส่วนตน ที่อาจจะพบเจอมาไม่เหมือนกัน ซึ่งนั่นคือเรื่องธรรมดาของโลก แต่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะว่า เราไม่รับในความต่าง เราตัดสินคนที่คิดไม่เหมือนเรา พยายามล้มล้าง พยายามกำจัดคนที่คิดไม่เหมือนเราออกไป ไม่รับฟัง ไม่นับถือ และไม่เห็นคุณค่าในความต่างนั้น แถมเราก็คาดหวังและคิดที่จะแปรเปลี่ยนความคิดความรู้สึกของเขา ให้มาเหมือนเราด้วย โดยวิธีการต่างๆ หลายหลากรูปแบบ เมื่อไม่ได้ดังใจเราก็เห็นว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงข้าม ต้องทำลายล้างเสีย

 

 อันที่จริงการเห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เราทั้งหลายไม่มีใครชอบอะไรเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีใครชอบอาหารชนิดเดียวกัน ไม่มีใครสนใจเรื่องใดๆเหมือนกันทุกเรื่อง แต่การไม่ยอมรับในความต่าง นั่นคือปัญหา ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่อง ถูก- ผิด ดี- ชั่ว เราอาจต้องวางใจเป็นกลางกันก่อนที่จะไปตัดสินใครต่อใคร แต่ด้วยความไม่รู้ตัว เรามักจะเผลอตัดสินคนที่เห็นต่างกับเราโดยทันที ว่าดี -ชั่ว ถูก-ผิด และคิดเอาเองว่า ตอนนั้นขณะนั้นใจเราเป็นกลางอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเลย เพราะบางครั้งด้วยมิจฉาทิฎฐิ ด้วยอคติในใจเราสามารถลงความเห็นและตัดสินใครต่อใครโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยๆ ข้าพเจ้าเองก็มักเป็นเช่นนั้นบ่อยครั้ง

 

ภายหลังการภาวนามาสักระยะข้าพเจ้าพบว่า โลกที่เห็น สิ่งที่เราเป็นขณะนี้จะดำเนินไปเช่นไร ขึ้นอยู่กับเราว่า มีมุมมองอย่างไร และคิดเห็นแบบไหนกับมัน เราทั้งหลายจึงไม่เคยมีโลกที่เหมือนกันเลย เพราะว่าในความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ นั้น ย่อมมีบางอย่างที่เหมือนกันและบางอย่างที่ต่างกันไป

ดังนั้นการชอบหรือไม่ชอบใครสักคนหนึ่ง จึงขึ้นกับประสบการณ์ในชีวิต ใจที่รู้สึก พื้นฐานก้นบึ้งที่ซุกซ่อนไว้ ว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราไม่อาจจะไปตัดสินได้ว่าการชื่นชมหรือชอบใครสักคนจนต้องออกมาเดินประท้วงนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตน เรื่องของความรู้สึกที่ไม่อาจจะเข้าใจได้โดยง่าย

แล้วอะไรคือถูกและผิด อะไรคือความจริงแท้ ไม่มีใครรู้ได้ เพราะทั้งหมดนี้คือบัญญัติในทางโลกทั้งหมดทั้งสิ้น เราบัญญัติสิ่งต่างๆ ว่านั่นคือดี นี่คือชั่ว นี่คือตรง นั่นคือคต แต่คนเราไม่เคยมองเห็นเหมือนกันทั้งหมดเลยอย่างเป็นเอกฉันท์

 

 

แม้กระทั่งมุมมองหรือความคิดเห็นต่อประเทศเราก็ถาม ถ้าไปถามชาวต่างชาติทั้งหลายว่าเมืองสยามเรานี้เป็นเช่นใด เขาก็อาจจะมีความคิดเห็นต่อสยามประเทศมากมายและหลายแบบ ทั้งที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเขารู้จักประเทศเราในแง่มุมใด และได้พบเห็นเราชาวสยามแบบไหน เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินเราด้วยแง่มุมของเขาได้ และนี่ไม่ใช่เรื่องถูกผิดอะไร เป็นการมองต่างมุมเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะมีทั้งความจริงและความไม่จริงอยู่ในนั้น เพราะนั่นเป็นแค่เพียงความคิดเห็นที่ปรากฏในใจของคนแต่ละคนเท่านั้น

 

 

แต่ความจริงแท้นั้นยังมีอยู่ ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร มองมุมไหน ก็ไม่อาจจะแปรเปลี่ยนความจริงแท้นี้ได้ และคนที่จะมองเห็นความจริงแท้ได้ ก็คือคนที่มีปัญญาแจ่มแจ้งและไร้ซึ่งมิจฉาทิำฐิแล้วเท่านั้น เพราะโลกที่จริงแท้คือโลกเดียวกัน เหมือนๆกัน ไม่มีอะไรต่างออกไป และ ไม่มีอะไรแยกออกไป

ดังนั้นตราบใดที่เรายังไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง ในเรื่องใดๆ มากพอ เราก็ไม่ควรตัดสินและ คิดอคติไปเสียก่อน แต่จนแล้วจนรอดเราก็อาจเผลอตัดสินใครต่อใครไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง

 

 โลกสมมุติจึงเป็นโลกที่เราต่างมีคนละใบ และมีตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง แล้วสร้างโลกขึ้นด้วยความคิดเห็นต่างๆ ที่มีอยู่ในใจตน เช่น เราจะมีมุมมองต่อที่ทำงานแบบนี้ มีเพื่อนที่สนิทเป็นคนแบบนั้น และมีคนที่ทำให้เรารำคาญแบบนี้ มุมมองที่เรามี ความคิดเห็นที่เราสร้างขึ้นต่อสิ่งต่างๆ คือตัวสร้างโลกในแบบที่เราคิด แทบจะกล่าวได้ว่าเราอยู่ในโลกของความคิดเห็นที่เราสร้างขึ้น และเข้าใจว่ามันคือโลกจริงๆ โลกที่เราคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ต้องดำเนินไปแบบนั้น แต่สำหรับใครอีกคนหนึ่งเขาอาจจะมีโลกที่ต่างไปจากเรา เข้าใจอะไรๆ ที่ไม่เหมือนเรา ดังนั้นจึงไม่น่่าแปลกใจที่ในสถานการณ์หนึ่งของชีวิต คนแต่ละคนจึงมีท่าทีตอบสนองต่อเรื่องราวนั้นต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น คนที่เจ็บป่วยไม่สบาย ด้วยโรคเหมือนๆกัน แต่จะตอบสนองต่อการเจ็บป่วยต่างกันไป บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องป่วย แต่บางคนถึงกับฟูมฟายร้องไห้วิตกกังวล และมีอาการป่วยหนักกว่าอีกคนหนึ่ง ทั้งที่ก็เป็นโรคเดียวกัน อาการเดียวกัน ความรุนแรงเท่าๆกัน

 

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ มันขึ้นกับใจของเรานั่นเอง เราจะสุขมาก เราจะทุกข์มาก เราจะมองโลกว่าดีเลวอย่างไร ขึ้นกับจิตใจเราทั้งสิ้น เพราะจิตคือผู้สร้างโลก ดังนั้นโลกของคนคนหนึ่งอาจจะไม่เหมือนโลกของอีกคนหนึ่งเลย แม้แต่น้อย ทั้งๆที่เป็นโลกใบเดียวกันนั่นแหละ

แล้วอะไรคือความจริงแท้เล่า อะไรคือดีที่แท้ อะไรคือเลวที่แท้ อะไรคือถูกต้องที่แท้ ไม่มีใครตอบได้ ดังนั้นการถกเถียงกันในเรื่องทางการเมือง ในเรื่องสีแดง สีเหลือง สีขาว หรือสีอะไรก็ตามแต่จึงไม่อาจหาข้อยุติใดๆได้เลย ถ้าเราทั้งหลายไม่ยอมใช้ปัญญาในการค้นหาและมองเห็นให้มันแจ่มแจ้ง เพราะตราบใดที่คนทั้งหลายยังตึดยึดและฝังแน่นอยู่กับความคิดเห็นของตน ก็ไม่อาจจะมีใครฟังใครได้ แม้จะตายกันไปข้างหนึ่งก็ไม่อาจจะหาข้อยุติได้เช่นกัน อย่างมากก็ยุติไปชั่วคราวตามความจำเป็นและจำยอมเท่านั้น

 

ปัญหาทั้งหมด เกิดขึ้นมาเพราะเราทั้งหลายต่างมีอัตตาตัวตนที่เปี่ยมล้นกันทั้งนั้น และต่างก็ยึดมั่นถือมั่นกับอัตตาตัวตนอันแรงกล้าไม่ยอมปล่อย เราจึงไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่าง เราปิดหูปิดตาเราเองที่จะรับรู้ความจริงทั้งหลาย แถมยังเลือกฟังแต่สิ่งที่ถูกใจเท่านั้น เมื่อเราไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากเรา และคอยตัดสินเรื่องราวทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา นั่นคือการเกิดเป็นกลุ่มเป็นฝ่ายเป็นสีขึ้นมาในที่สุด

  เรื่องราวแบบนี้มันมีแทบทุกส่วนของสังคม แม้แต่ในที่ทำงาน ในครอบครัว ในความสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่ง เราทั้งหลายมีโลกกันคนละใบ และพยายาีมที่จะให้อีกคนหนึ่งมามีโลกแบบเรา ให้มามีความคิดเห็นแบบเรา ซึ่งนั่นคือความพยายามที่สูญเปล่าและไร้ประโยชน์ แถมไม่อาจเป็นไปได้ และข้าพเจ้าก็เริ่มเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความจริงอันนี้ แถมเราทั้งหลายต่างมีอัตตาตัวตนมากมายที่มาปกป้องโลกของตนเองไว้ เราไม่ยอมให้ใครมาเข้าใกล้และจัดสรรแปรเปลี่ยนอะไรได้ ดังนั้นในมุมมองของเรา วิถีชีวิตต้องเป็นแบบนี้ การใช้ชีวิตต้องแบบนี้ การทำงานต้องแนวนี้ นายกต้องเป็นคนนี้ หัวหน้าเราต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น เราไม่ยอมรับอะไรๆที่แปลกใหม่ อะไรๆที่แตกต่าง เราไม่ยอมแปรเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น เราบอกว่านั่นคือความเป็นส่วนตัว ความเป็นปัจเจกหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นั่นยิ่งทำให้เราแยกห่างจากคนอื่น และกีดกันคนอื่นออกไปจากชีวิตเรื่อยๆ แล้วเราก็จมปลักอยู่ในโลกของเรา โลกที่เราคิดว่ามันคือโลกแห่งความจริงทั้งหมด

 

ข้าพเจ้านึกไปถึงการอยู่ในรังดักแด้ อย่างที่ในหนังสือ

"ซัมบาลา" ว่า  บางครั้งความเป็นปัจเจก และอยู่แบบปัจเจกแบบสุดขั้ว ก็คือการอยู่ในดินแดนแห่งอัตตา อยู่ในรังแห่งอัตตาที่เราสร้างไว้นั่นเอง

 

 

 

อัตตาตัวตน ก็คือปัญหาใหญ่เช่นเคย การแบ่งสีแบ่งข้างก็เป็นเรื่องของอัตตาที่สรรสร้างขึ้น และผู้คนทั้งหลายต่างก็สะสมอัตตาให้พอกพูนกันทุกวี่ทุกวัน ไม่มีใครคิดจะมาสลายอัตตาตัวตนลงด้วยวิชาของพระพุทธเจ้าสักครั้ง ต่างก็มุ่งหวังและคิดแก้ปัญหาแบบโลกๆ ไป แถมใช้อัตตาตัวตนที่เปี่ยมล้นนั่นแหละมาแก้ ปัญหาต่างๆจึงไม่เคยจบลงได้

 

 

 

นี่คือโลกแห่งบัญญัติ โลกแห่งสมมุติอันวุ่นวายสับสน แต่โลกแห่งความจริงแท้ คือโลกแห่งปรมัตถ์ และไม่มีอะไรที่จะสามารถหักล้างหรือเห็นต่างได้ เมื่อเราพูดว่าไฟ แสดงถึงความร้อน ผู้คนทั้งหลายต่างเข้าใจว่านี่คือไฟ เมื่อเราพูดถึงดิน ถึงน้ำ ถึงลม ผู้คนทั้งหลายก็ไม่มีใครเห็นต่าง ลักษณะของน้ำเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ น้ำย่อมมีคุณสมบัติของน้ำที่ชัดเจน และเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครเห็นต่าง ไม่มีใครถกเถียง เพราะนี่คือความจริงแท้แบบปรมัตถ์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเช่นไรก็คือความจริงอยู่นั่นเอง

 

 

โลกของสมมติจึงเป็นโลกที่เราทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะหาความจริงแท้แน่นอนไม่ค่อยได้ เพราะคุณลักษณะของโลกแบบนี้ก็คือ  เมื่อมีดี ก็ต้องมีชั่ว เมื่อมีดำ ก็ต้องมีขาว  เมื่อมีพระอาทิตย์ขึ้น ก็ต้องมีพระอาทิตย์ตก  เมื่อมีมาก็ต้องมีไป   เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย  เพราะโลกของสมมติ  โลกที่เราเห็นเช่นวันนี้ มันคือโลกแห่งทวินิยม เมื่อมีนี่จึงมีนั่น ไม่มีอะไรที่เป็นหนึ่ง  การมองเห็นต่างจึงมีได้ การมีหลายหลากจึงมีได้ เพราะเราอยู่ในโลกแบบนั้น อย่างนั้น และการติดยึดกับมันมากมายในฟากใดฟากหนึ่ง คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น

 

 การภาวนาคือการสลายความยึดติดในโลกสมมติ ให้เราเห็นแจ้งในความต่าง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งคือธรรมดา และควรมองเป็นธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิด การมองทุกอย่างตามความเป็นจริงและเป็นกลางมีความสำคัญยิ่ง เหมือนการมองความเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ในแต่ละฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป บางครั้งมันมีใบสีเขียวสดใส มีดอกสีสันสวยงามจับตา แต่เมื่อฤดูแล้งมาถึง ใบมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหม่น แล้วร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ไม่มีความงดงามใดๆเหลืออยู่ แม้แต่น้อย ถ้ายึดติดกับสีเขียวของมันในฤดูฝนเราก็จะทุกข์ เรากำลังไปยึดติดในสิ่งที่ไม่อาจจะควบคุมได้ เพราะนั่นคือ "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของสิ่งทั้งหลาย

 

 

แล้วเราจะวางใจอย่างไร ทำใจอย่างไรกับเรื่องราวทั้งหลายในขณะนี้ ในความคิดเห็นส่วนตน ข้าพเจ้ามองว่า เราควรเฝ้าดูสิ่งทั้งหลายนี้ ด้วยใจที่เป็นกลาง เราไม่ควรหนี ไม่ควรปิดหูปิดตา แต่ก็ไม่ควรกระโดดเข้าไปในเรื่องราวและสถานการณ์จนเกินไป มีสิ่งเดียวที่เราสามารถรักษาได้ในขณะนี้ คือรักษาใจของเราเอง เมื่อเรามีสันติภาวะมากพอ มีใจที่เป็นกลางมากพอ โลกที่เราเห็น ความวุ่นวายที่เป็นอยู่ ก็จะเป็นความวุ่นวายที่เรา เข้าใจได้ และยอมรับได้ เป็นธรรมดาที่เราจะตำหนิคนที่ใช้ความรุนแรง แต่นั่นเพราะมิจฉาทิฎฐิ เพราะความไม่รู้ของเขาทั้งหลาย จึงได้กระทำเช่นนั้น สิ่งที่จะทำได้คือแสดงความเป็นกลางและใช้สันติวิธี ใช้ความเข้าใจ เพื่อแสดงให้เขารับรู้ว่า ไม่ว่าจะสีไหนอย่างไร เราทั้งหลายก็คือคนสยามเดียวกัน

 

 

 

การที่เราจะคิดเห็นกันเช่นนั้นได้ ทำเช่นนั้นได้ ก็คงไม่ใช่ของง่ายนัก เราต้องผ่านการปฎิบัติและฝึกฝนให้เข้าใจว่า นั่นคือของสมมติ นี่คือเรื่องบัญญัติ และความเข้าใจนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมาศึกษาวิชาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 

การภาวนาจะทำให้เราเข้าใจโลกสมมุติ และปล่อยวางมันลงได้บ้าง ปล่อยวางตามกำลังความสามารถและสติปัญญาที่ก่อเกิดในจิตใจในขณะนั้น การปล่อยวางนี้ ไม่ใช่เกิดจากการคิดตรึกตรองจากสมอง จากข้อมูลในหัว แต่มาจาก"จิตรู้" ในความจริงแท้อันหนึ่ง ความจริงแท้ที่ว่า โลกที่แท้จริง คือโลกของปรมัตถ์ โลกที่เป็นเอกฉันท์และหนึ่งเดียว

เพราะในโลกของปรมัตถ์ เราทั้งหลายนั้นต่างประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม และไฟ เราไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นสีไหนอย่างไร ดีชั่วแค่ไหน มีความเป็นมาอย่างไร เพราะ เราทั้งหมดเป็นเพียงรูปของดิน ของน้ำ ของลม และของไฟ ที่มาประชุมกันอยู่ชั่วคราว และจะแยกแตกสลายออกจากกันในสักวันหนึ่ง จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไปถกเถียงกันในเรื่องของโลกสมมติ และเอาชนะคะคานกัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน ด้วยเรื่องสี เรื่องความต่าง เรื่องใครดีเรื่องใครได้ เรื่องใครมีเรื่องใครเป็น เพราะนั่นคือของสมมุติ คือเรื่องสมมุติ ทั้งหมดทั้งสิ้น

เพราะเราอยู่ในโลกแห่งสมมติเราจึงมีโลกคนละใบที่ไม่เคยเหมือนกันเลย และไม่อาจเหมือนกันได้ โลกของเราก็จะเป็นไป ตามความคิดเห็น ตามการปรุงแต่ง ของเราเอง เมื่อเรายังอยู่ในโลกเช่นนี้ เราก็ควรอยู่กับมันอย่างเข้าใจ และไม่จำเป็นต้องหลีกหนีไปที่ไหน เราอยู่ในโลกเช่นนี้ได้แต่ก็ไม่ควรไปข้องติดอยู่กับโลก เพราะนี่คือโลกที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในทุกลมหายใจเข้าออกของเรา คือการแปรเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ทุกขณะจิต มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้

 

แต่ในโลกของปรมัตถ์เรามีเพียงโลกเดียว หนึ่งเดียว ที่เป็นความจริงแท้ไม่แปรเปลี่ยน เมื่อเราเข้าใจในปรมัตถ์ เห็นในปรมัตถ์ เราก็จะเข้าใจว่า ทำไมจึงมีคำกล่าวนี้  คำกล่าวที่ว่า

 "สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย "

 

 

ข้าพเจ้าเองก็กำลังพากเพียรเรียนรู้ที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคำกล่าวนั้น เข้าใจสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว ความจริงเดียวนั้น   เพราะแม้ว่า เราจะอยู่กันคนละโลก (สมมุติ)  แต่คือ.. (หนึ่ง) เดียวกัน .

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

คำสำคัญ (Tags): #คนละโลก
หมายเลขบันทึก: 345340เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2010 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ทีีคนไทยเราคุยกันไม่ค่อยได้ คงเป็นเพราะอัตตาอย่างที่ท่านว่า

และแต่ละคนยินดีรับฟังเฉพาะสิ่งที่อยากจะฟังเท่านั้น

อย่างกรณ๊เสื้อแดง ก้ไม่ยอมฟังว่า ที่เขาจัดการทักษิณ เพราะอะไร เช่นทุจริตหรือกระทำไม่ชอบอย่างใด

หรือคนทั่วไปขณะนี้ (รวมทั้งผมด้วย) ก็ไม่ค่อยจะสนใจว่าการที่เสื้อเหลืองปิดสนามบินมีผลกระทบอย่างไร เป็นสิ่งที่ควรทำไหม

เราเปิดหูเปิดตาเฉพาะส่วนที่เราอยากเปิดเท่านั้นเองครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท