Journey in America: Chapter 11 รักแท้ดูแลไม่ได้


ถ้าคุณมีใครซักคนบอกคุณว่าเขารักคุณ อย่าปล่อยให้เขาไป เพราะเมื่อเขาไป คุณอาจจะมองเขาเป็นคนที่ผิดคำพูด ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณเองเป็นคนที่ทำให้เขาต้องโกหก แม้แต่ตัวของเขาเอง

          ถ้าคุณมีใครซักคนบอกคุณว่าเขารักคุณ อย่าปล่อยให้เขาไป เพราะเมื่อเขาไป คุณอาจจะมองเขาเป็นคนที่ผิดคำพูด ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณเองเป็นคนที่ทำให้เขาต้องโกหก แม้แต่ตัวของเขาเอง

 

          Chapter นี้ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับชีวิตในต่างประเทศ แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในเวลา 5 เดือนก่อนการกลับบ้านอย่างถาวร ปิดฉากการย้ายถิ่นฐานที่ไกลและนานที่สุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา

 

          ความรู้สึกที่ว่านี้เกี่ยวกับคนที่เมืองไทย..... ย้อนไป 5 ปีกว่าๆ ตอนนั้นผมมีแฟน ทิ้งเขาไว้ที่เมืองไทย แล้วมาเรียนโดยไม่ได้บอกเขาว่าจะกลับเมื่อไหร่

 

          ตอนนั้นก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ว่าจะมาเจออะไรในที่ที่ไม่เคยอยู่มาก่อน ความคิดจะพาแฟนมาอยู่ด้วยจึงไม่อยู่ในหัว ที่สำคัญเราคิดแค่มาเรียน เรียนแล้วก็กลับ ไม่น่าจะนานเท่าไหร่

 

          คนที่มีโลกใหม่ เพื่อนใหม่ ความสนุกและความท้าทายใหม่ๆ ไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่ถูกจากมา หรือคนที่ถูกทิ้งอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ เขาจะเหงาแค่ไหนในวันที่ไม่มีเรา..... 1 วันของเขาจะนานกี่ชั่วโมง 1 ชั่วโมงของเขาจะมีกี่ร้อยนาที

 

          มีคนคนนึงบอกว่ารักเรา เราก็ยึดมั่นถือมั่นจนคิดว่าเราไม่ต้องพยายามอะไรมาก แค่ทำหน้าที่ของเราในต่างประเทศให้เสร็จ แล้วกลับไปวางแผนชีวิตวันข้างหน้าร่วมกัน เราก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ เพราะเราเองก็มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองเช่นเดียวกัน

 

          ความรักเป็นพลังงาน สามารถวัดได้ในเชิงปริมาณ และแน่นอนว่ามันต้องเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีตัวแปรต่างๆ มาเกี่ยวข้อง ปกติก็ไม่ใช่คนแสดงออกด้านความรักเท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งมาทำจองหองกับความคิดของตัวเอง คิดว่าความรักเป็นของตาย จึงไม่รู้เลยว่าคนที่เขาอยู่ห่างไกลนั้นเริ่มเหนื่อยกับการรอ อย่าว่าแต่ห้าปีเลย ห้าวันก็แย่แล้ว

 

          คุยกันเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง คุยดีบ้างร้ายบ้าง.....สนุกเฮฮา กับสิ่งต่างๆ ในอเมริกา ที่ผมพูดถึงตั้งแต่ chapter 1-10 จนลืมแฟนตัวเอง..... ในขณะนั้นเองก็มีคนที่ผมสมมติว่าปรารถนาดีกับแฟนผมเข้ามา (ที่บอกว่าสมมติ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาในชีวิตของคนที่เขามีแฟนอยู่แล้ว เขาคิดยังไง) อยู่ทำงานที่เดียวกัน มีเวลา มีทุกๆอย่างที่ผมเคยมี แต่ตอนนี้ผมไม่มี

 

          ไม่มีความลับอะไรระหว่างกัน เขาบอกว่ามีคนมาชวนไปเที่ยว ดูหนัง ทานข้าว จะด้วยความรู้สึกสงสาร เห็นใจ รักหรืออะไรก็ไม่ทราบ ไม่อยากให้แฟนผมร้องไห้เพราะความเหงา ผมเลยให้เขาไปเที่ยวกัน อย่างน้อยเขาก็คงสนุกและไม่เบื่อกับการรอเรา

 

          แล้วคิดว่ามันจะแค่นั้นรึไง(พูดกับตัวเอง)..... เราก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นชอบแฟนของเรา เพราะเหตุนี้เอง มันจึงพัฒนาเป็นสิ่งที่ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ คนที่บอกว่ารักเราเริ่มลังเล คำว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิด ไม่ใช่มุขตลกของยาสีฟัน แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้..... หลังจาก 2 ปีผ่านไป มีคนที่แฟนเรารักเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน และในวันนั้นเป็นวันที่ผมเชื่อว่าแฟนผมคงจะลำบากใจที่สุดในจักรวาลเมื่อต้องพูดกับผมเกี่ยวกับความจริงอันนี้

 

          ในชีวิตเราอาจจะเคยทำอะไรเท่ๆ มาหลายครั้ง วันที่แฟนผมโทรมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ได้ทำในสิ่งที่เท่ และพระเอกมากๆ คือการ ไล่แฟนผม ให้ไปอยู่กับผู้ชายอีกคน..... ไอที่ว่าไล่นี่ก็ไม่ใช่ดุด่า โกรธโมโหอะไร แต่เพราะเรารู้สภาพดีว่าเราทำอะไรไม่ได้ ชีวิตที่เขาอยู่ในวันนี้คือการที่เขา 2 คนอยู่ด้วยกัน คือความสุขที่แฟนผมพอจะหาได้ และจะสมบูรณ์แบบหากไม่ต้องพะวงกับอดีตที่มันคงไม่หวนกลับมาในเวลาอันใกล้.....คิดได้ถึงตรงนี้ก็เลยบอกให้เขาไป..... แมนมากนักเรียนนอก (พูดกับตัวเอง)

 

          ถามว่าเสียใจไหม แน่นอน เลิกกับแฟนคงไม่ดีใจ แต่ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม..... ก็ไม่..... เราก็เรียน ทำงาน กินซูชิ ดูหนังในโรงที่ไม่มีซับไทยเหมือนเดิม.....แฟนเราก็เช่นกัน จากตรงนี้เหมือนเราจะแยกกันด้วยดี

 

          3 ปีต่อมา ผมกำลังจะกลับเมืองไทย คิดถึงวันที่เราจากมา วันที่เพื่อนๆ เราเพิ่งจะเป็นบัณฑิตจบใหม่ หน้าใสๆ แล้วก็อดหวังอยากให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้.....แต่ตอนนี้ทุกคนก็ทำงานกันหมดแล้ว บางคนแต่งงานแล้ว บางคนย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และแน่นอนทุกคนอายุ + เพิ่ม 6 ปี

 

          แล้วความรู้สึกเกี่ยวกับความรักก็กลับมาด้วยเช่นกัน ในเวลาที่เรากำลังสามารถจะกลับไปทำในสิ่งที่เราต้องการ กับคนที่เรารักได้ เราก็หวังอยากให้เขาอยู่รอเราเหมือนที่เคยเป็น จากวันที่เราให้เขาไปเพราะเหตุผลการขาดคุณสมบัติของการเอาใจใส่ของเรา .....วันนี้พูดง่ายๆ แบบไร้ความผิดชอบชั่วดีเลยคือ อยากได้เขาคืน .....

 

          คนที่บอกรักเราทุกวัน จะรักเราน้อยกว่าเราที่ไม่เคยบอกรักได้ยังไงกัน นี่เป็นความคิดของคนเห็นแก่ตัวแบบหนึ่ง เป็นความคิดของคนที่ใช้ประโยชน์จากคำพูด โดยไม่คิดจะกระดิกนิ้วเพื่อคนที่รักเลยซักนิดเดียว

 

          ตอนนี้ก็เลยมีแค่คิดถึง วูบนึงเคยคิดอยากจะได้แฟนคืน แต่ ณ เวลานี้.....ไม่ดีกว่า หากเรายังรู้สึกดีๆ กับเขาอยู่ ความรักมันสับสนดีแท้..... 3 ปีก่อนปัดความรับผิดชอบโดยการยกให้คนอื่น มาวันนี้จะไปแย่งแฟนตัวเองคืนจากคนอื่น

 

ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้รักเราแล้ว

 

          อีก 5 เดือนจะได้กลับเมืองไทยซักที อะไรๆ คงเปลี่ยนไปเยอะ และเราเองก็คงต้องเปลี่ยนตาม

 

          ถ้าคุณมีใครซักคนบอกคุณว่าเขารักคุณ อย่าปล่อยให้เขาไป เพราะเมื่อเขาไป คุณอาจจะมองเขาเป็นคนที่ผิดคำพูด ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณเองเป็นคนที่ทำให้เขาต้องโกหก แม้แต่ตัวของเขาเอ..... แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ก็อย่าโทษใคร ขอให้ความรู้สึกถูกชะล้างไปกับเวลา ให้คนที่รักเราเป็นคนที่ยังรักเราต่อไปในใจของเรา ส่วนใจเขาก็เป็นของเขา

 

          ผมคิดว่าปัจจุบันคงไม่มีใครจะเหมือนแฟนเก่าของผม แม้แต่ตัวของแฟนเก่าของผมเอง..... เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรในการค้นหาคนที่ไม่มีตัวตนแล้วกลับมา..... อีก 5-6 เดือน คือการเริ่มต้นใหม่ กับคนดีๆ คนใหม่ๆ ที่เราจะต้องสัญญากับตัวเองหลังจากบทเรียนที่ผ่านมานี้ ว่าจะต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ต้องรอ และเสียใจอีก

 

          คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองอย่างพี่เบิร์ดบอกไว้ แต่พี่บอยก็บอกไว้เช่นกัน ว่าหากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ (บางทีฟังเพลงไทยมากๆ นี่ก็สับสนเหมือนกัน บางเพลงก็บอกช่างโง่เขลา บางเพลงก็บอกประเสริฐแล้ว) .....ยังไงอีก 5-6 เดือนเท่านั้นก็จะได้เวลาเริ่มอะไรใหม่ๆอีกครั้ง ทิ้งคนในอดีตไว้ในความทรงจำ อดทนกันหน่อย นะสาวๆ แล้วจะได้เจอกัน

 

เขียนที่ West Covina, California: October 20, 2005

คำสำคัญ (Tags): #diary
หมายเลขบันทึก: 343371เขียนเมื่อ 10 มีนาคม 2010 22:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านเรื่องของคุณแล้วตอนแรกไม่น่าสงสารเพราะเหมือนคนไม่มีความรู้สึก แต่เมื่ออ่านจบก็รู้สึกเห็นใจเพราะฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชิงถูกทิ่ง แต่ถูกปล่อยให้รอ การรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย ความหวังใดๆ เลยทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนเราอยู่คนเดียวไม่เข้าข้างใครนะคะ แต่ว่าขอมองในสองด้าน คือถ้าแฟนเก่า คุณมั่นคง เขาก็คงรอได้ แต่อย่างที่บอกในข้างต้นเขาคงมีความรู้สึกทั้งสองอย่าง คือ ไม่รู้ว่าจะรอคอยกับคนที่นานๆทคุยกันได้อย่างไร เอาเป็นว่าพรหมลิขิตทำให้คุณได้ผ่านมาพบและเจอกันแต่ไม่ใช่เนื้อคู่กัน ฉันคิดแบบนี้เพราะอย่างที่บอกฉันก็เคยเป็นแบบนั้น และฉันก็อยู่มาได้จนทุกวันนี้ โดยที่ฉันไม่คิดเสาะแสวงหาว่าจะต้องรีบมีใคร เพราะการที่จะมีคนผ่านเข้ามาในชีวิตของเราคนหนึ่งนั้น ลองคิดดูสิ คนเป็นล้านๆคน มีกี่คนที่ได้พบกันและรู้สึกดีๆต่อกัน แต่นั่นก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อคุณทำใจได้แล้วคุณจะรู้สึกดี อยู่กับตัวเองให้ได้นะคะ

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้คำพูดเหมือนคุณว่าคงไม่มีใครดีเท่ากับ...คนนั้นอีกแล้ว ซึ่งความเป็นจิงอาจจะมีอยู่ไม่ว่าใกล้หรือไกลตัวแต่เราเองต่างหากที่ปิดใจและไม่ยอมรับเขาเข้ามาแทนที่คน คนนั้น จริงมั้ยคะ...

สวัสดีครับ

ขออนุญาต เล่าความรู้สึกหลังจากผ่านเวลานั้นมา 4 ปีกว่านะครับ (เขียนบทความนั้นไว้เมื่อปี 2005)

ทั้งหมดเป็นเรื่องของเวลาจริงๆ ครับ ถึงวันนี้ผมกลับมาประเทศไทย ได้พบกับคนที่ผมเอ่ยถึงซึ่งก็มีความสุขดีกับแฟนของเขา มันก็เป็นภาพใหม่ที่เราไม่คุ้นชิน แต่เราก็คงต้องปล่อยผ่าน เพราะเรื่องราวฉากต่อไปมันก็ต้องดำเนินไปต่อ ตัวละครใหม่ก็ต้องปรากฏขึ้น ความรักเป็นภาวะทางอารมณ์ที่วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่เรารู้เมื่อมันกำลังเปลี่ยนเแปลง ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่เป็นพี่เป็นน้องตามกรอบสังคมที่ทำได้ ผมเองก็มองหาตัวละครใหม่แล้วก็หวังว่าครั้งนี้คงอยู่ด้วยกันถึงท้ายเล่ม

ไม่มีใครดีเท่ากับคนที่เรารักถูกแล้วครับ แต่ก็ต่างกรรมต่างวาระครับ วันนี้เรารักใคร คนๆ นั้นย่อมเป็นคนที่ดีที่สุดครับ

ที่ผ่านมาคือความทรงจำดีๆ ที่กำลังจะมาถึงคือความสุขที่เราจะค้นพบมันได้ แค่ปล่อยวางครับ

จริงตามที่คุณ Sirirat-Nakin ว่าครับ และขอบคุณสำหรับ Comment ดีๆ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท