ยังฝึกได้ไม่ดีพอ : บันทึกความคิด 3


ถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องรู้สึกขัดเคือง ไม่พอใจ หรือโกรธ เวลามีใครมาตำหนิหรือต่อว่าให้

 

 

ยังฝึกได้ไม่ดีพอ

ถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องรู้สึกขัดเคือง ไม่พอใจ หรือโกรธ เวลามีใครมาตำหนิหรือต่อว่าให้

มีบางครั้งเคยนึกในใจว่า ทำไมเราต้องอารมณ์ขุ่นกับเรื่องแค่นี้ด้วย

ยกตัวอย่างเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้คุยกับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนโดยบังเอิญ ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือช่วงเวลาบ่ายเพื่อรอลูกเรียนพิเศษ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวมาทำพิธีลอยอังคารของญาติผู้ล่วงลับไปแล้วที่แม่น้ำโขง  ตอนแรกคุยกันเรื่องการทำพิธีลอยอังคารประเด็นลักษณะเป็นธุรกิจ กับความรู้สึกของญาติผู้มาใช้บริการ รู้สึกพูดคุยกันถูกคอดี จึงไถ่ถามถึงบ้านช่องและที่ทำงาน พอรู้ว่าทำงานอะไร  เริ่มเปลี่ยนประเด็นการสนทนาเป็นเรื่องงานเข้ามาแทนที่ เผอิญต่างก็สังกัดหน่วยงานที่ต้องทำงานประสานกันแต่อยู่คนละท้องที่(ต่างจังหวัดกัน) ยกเอาประเด็นที่มีข้อข้องใจในการประงานกันมาคุยกันต่างฝ่ายต่างมองในมุมมองตนเอง  พยายามชี้แจงเพื่อปกป้อง หรือแก้ต่างให้องค์กรของตนเองบางทีรู้สึกมีขุ่นเคืองหน่อยๆในใจ  ทำไมเรื่องนั้นเป็นแบบนี้แล้วทำไมไม่อย่างนั้น เชิงต่อว่าหรือตำหนิ  คุยไปสักพักเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว  ต่างคนต่างรู้สึกว่าเริ่มคุยไม่สนุกจึงปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นออมชอม  ปลอบกันเองว่าเอาเถอะ การทำงานร่วมกันก็มีปัญหาเป็นแบบนี้แหละทุกที่ ค่อยแก้ไขกันไปเพื่อจุดหมายร่วมกัน แล้วก็กล่าวล่ำลากันไป

 

พอเขาเดินจากไปสักพัก ก็นั่งทบทวนและถามตนเองว่า เมื่อครู่นี้เรารู้สึกขุ่นเคืองเรื่องอะไร ทำไมเราดูเหมือนว่ามีโกรธให้เขานิดๆ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ต่อว่า ระบุชื่อเราตรงๆ เพียงกล่าวถึงหน่วยงาน หรือองค์กรที่เราทำงานอยู่ก็เท่านั้น โดยส่วนตัวก็ไม่ทำงานร่วมกันโดยตรงเราะอยู่คนละจังหวัด

คำตอบในใจที่คิดได้ หลังทบทวนแล้ว คือ

  1. ด้วยความคนธรรมดาๆ นี่แหละ ความโกรธ ความรัก ความชอบ เป็นความรู้สึกที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งยั่วยุที่มากระทบเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
  2. ไม่น่าจะผิด ที่คนเราจะมีความรู้สึกตอบสนอง การพยามยามปกป้อง การไม่ยอมรับ แต่ว่ามันจะมากน้อยต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิฐิ ความยึดมั่นยึดถือในตัวตน
  3. เรารู้สึกไม่พอใจเพราะมีความรู้สึกว่าเขากำลังตำหนิองค์กรเรา  เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรนั้น เรายึดถือว่ามันเป็นตัวเรา จึงรู้สึกว่าเขากำลังว่าให้เรา  และยังรู้สึกว่าไม่ใช่อย่างที่เขาพูด เราจึงต้องการปกป้อง และแก้ต่างแทน เหมือนว่ากำลังโดนกระทบโดยตรง  ทั้งที่จริงก็เป็นเพียงคำพูดที่ได้ยิน ต่างคนต่างก็นั่งอยู่ ไม่ได้มีการจับต้องสัมผัสร่างกายกันเลยสักนิด  เพียงแต่คิดในใจว่าเราก็มีศักดิ์ศรี
  4. แล้วมันจะผิดตรงไหน หากเรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และกำลังปกป้องศักดิ์ศรีองค์กรของเรา
  5. คำตอบข้อ 4 คือ ความยึดมั่น ถือมั่น เป็นความคิดที่โง่ จัดว่าเรายังไม่รู้เท่าทันความจริงของมัน มันเกิดจากความรู้สึกเป็นเจ้าของจึงหวงแหน  และพยายามปกป้องสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นตนเอง
  6. ความคิดว่ามีศักดิ์ศรีขณะนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด  การคิดดี ทำดี ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องเสมอต่างหากที่ควรจัดว่ามีศักดิ์ศรีแท้จริง
  7. หากคนมีศักดิ์ศรีที่แท้แล้วไม่ควรกังวลว่าใครจะคิดอย่างไร  การปกป้องศักดิ์ศรี คือการรักษาการทำดี  คิดดี  ทำในสิ่งที่ถูกอยู่เสมอจึงไม่จำเป็นต้องไปโกรธเคืองใคร  เพราะว่าแท้จริงแล้วเราจะเป็นอย่างไรไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดของใครคนใด แต่อยู่ที่เรากำหนดทำหรือคิดเอง
  8. สาเหตุที่คนใดจะไปกล่าวตำหนิตัวเรานั้น  น่าจะมีสาเหตุ 3 อย่าง คือ

           ก.     คือความที่เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเราเป็นอย่างไร  หากเป็นเช่นนี้ เราจ้องอธิบาย ทำความเข้าใจ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องอารมณ์ขุ่น

           ข.     ความมีอคติของเขาที่มีต่อเรา / องค์กร ซึ่งจริงๆเขาอาจไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่มีอคติเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว  ข้อนี้ต้องชี้แจงให้ฟัง และถ้ายังไม่ยอมเข้าใจ เราเองต้องเป็นฝ่ายเข้าใจเขาว่า เขาตั้งใจจะคิดแบบนั้น  เราต้องฝึกฝนตนเองให้ได้ว่าเราทำใจได้  เราไม่โกรธเพราะรู้เท่าทัน  

           ค.     เราได้ทำอย่างที่เขาว่าตำหนิให้เราจริง   ถ้าเป็นสาเหตุนี้ เราต้องยอมรับแล้วนำมาพิจารณาปรับปรุง และไม่ควรโกรธ แต่ควรขอบคุณเขา

 

สรุปว่า เรายังฝึกฝนได้ไม่ดีพอ 

         ยิ้มในใจแล้วบอกว่าเราจะต้องฝึกมากกว่านี้

*******************************************************no-war

หมายเลขบันทึก: 338294เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2010 00:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 12:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ ดิฉันขอร่วมแสดงความคิดด้วยคนนะคะ "เราควรจะมองสิ่งดี ๆ ในมุมกว้าง มองด้วยใจที่เปิดกว้าง แทนที่จะพยายามหาจุดบกพร่องสักจุดเพื่อการติ แล้วคุณจะพบว่าวันนี้ ช่างสวยงามกว่าเมื่อวานเยอะ" "สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นเมื่อมองดูคนอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเราเอง ว่าเราจะมองออกไปอย่างไร ถ้าเราคิดดี เราก็จะมอง ออกไปดี มองโลกในแง่ดี ก่อนที่เราจะตำหนิอะไรออกไปก็จะเป็นการดีที่จะตรวจสอบความคิดของเราซะก่อน และถามตัวเราเองว่าเราพร้อมที่จะเห็นแต่สิ่งดี ๆ ไหม แทนที่จะไปมองหาบางจุดเพื่อมาตำหนิคนนั้น ๆ ....

สวัสดีคุณดาว ครับ

ยินดีครับที่ท่านมาร่วมแสดงความคิดเห็น ในมุมมองที่เปิดกว้าง แห่งนี้

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ว่าเราควรมองหาแต่สิ่งดีๆ มากกว่าค้นหาจุดบกพร่องในการมองคนๆหนึ่ง

ที่จริงแล้วผมว่าไม่เฉพาะการมองคนเท่านั้น ยังสามารถประยุกต์ใช้กับหลายเรื่องด้วย

อย่างเช่น การฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันอารมณ์ การพยายามทำความเข้าใจตนเอง เพื่อให้มีสติรู้

จะได้สามารถจัดการกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็อยู่ที่การฝึกฝนตนเองครับ ดังนั้นผมจึงได้เขียนบันทึกนี้เพื่อเป็นการสติกับตัวเอง

ว่า เรายังฝึกฝนได้ไม่ดีพอ เราจะต้องฝึกอีกมาก...

ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนครับ

ขอให้มีความสุข

ปุถุชนค่ะท่าน โกรธก็โกรธได้แต่อย่าทำบาป..ก็โกรธได้นิค่ะ เพราะเรากินพริก กินเกลือ มีอารมณ์ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ..โกรธแต่ไม่ถึงกะชกหน้ากัน นี้ก็ถือว่าเลิศแล้ว แต่นี่ท่านยังมาวิเคราะห์ว่าท่านไม่น่าจะคิดโกรธแสดงว่าท่านเกือบบรรลุแล้วค่ะท่าน..ยินดีจริงๆ

รัก โลภ โกรธ หลง มนุษย์ทุกคนต้องมี บันทึกนี้เป็นประโยชน์มากครับ

 

P
สวัสดีครับ
ยินดีที่ได้รู้จักในเวทีนี้
อย่างที่ท่านว่านั่นแหละครับ  เราก็เพียงปุถุชนธรรมดา ทำได้แค่ไหนก็พยายามทำ เตือนตนเองไปพร้อมทั้งให้กำลังใจตนเองไปพร้อม  แต่คงไม่ถึงขั้นบรรลุหรอกนะครับคงต้องอีกหลายชาติ  ชาตินี้แค่ได้คิดก็พอจะสุขบ้างแล้วละครับ
...............
พูดถึงความสุข  แต่ละคนก็มีวิธีคิดต่างกันไปนะผมว่า
สิ่งต่างๆที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนให้เกิดมีความสุขแต่ละคนไม่เหมือนกัน  บางคนหาความสุขได้จากการมีเงินทองมากมาย  บางคนแค่ข้าว 2 มื้อก็ล้นเหลือแล้ว บางคนขอเพียงพรุ่งนี้ให้ยังคงหายใจอยู่ก็พอ
ดังนั้น สิ่งใดจะมีค่าวิเศษแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการในขณะนั้น  ก็อย่างประโยคนี้  
"รางวัลที่วิเศษสุดของคนหิวโซคือข้าวสุก"
(ผมเปลี่ยนให้จากกระสอบ/ถุงข้าว เป็นข้าวสุก จะได้ทานได้เลย)
"รางวัลยอดปรารถนาของผู้ทุกข์คือเงินตรา"
แม้จะได้มาจากถูกล็อตเตอรี่ก็ช่างปะไร ไม่ได้ปล้น
พอคุ้นๆบ้างหรือเปล่าครับ
จะอะไรก็ตาม จะรู้ดีก็ตัวเอง
ขอบคุณนะครับ......
สวัสดีครับคุณ
P
แน่นอนครับมนุษย์ทุกคนต้องมีสิ่งเหล่านี้
แต่เมื่อมีแล้วก็คอยควบคุมดูแลมันสักหน่อย
ดูแลในส่วนที่ตนครอบครองมันอยู่ให้พอดิบพอดี ไม่มากไม่น้อย มีภูมิคุ้มกัน
ขอบคุณท่านเบดูอินที่แวะมาทักทายครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท