หลายคนเคยได้ยินคำว่า”มองต่างมุม” แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่เป็น “ มองมุมต่าง “ คำนี้แปลกกว่าเดิมนะครับท่าน(ความคิดของผม) ผมจะอธิบายให้ฟัง เช่น
เมื่อเราพูดถึง” มือ “ คนส่วนใหญ่ต้องนึกถึง”ด้านหน้าของมือที่มีลายเส้นมือ เส้นวาสนา ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯ “ หาก มองต่างมุม น่าจะหมายถึง “ด้านหลังของมือที่มีเส้นเอ็น เส้นเลือดโผล่ปรากฏให้เห็น”
แต่ถ้าเป็น มองมุมต่าง น่าจะเป็น”ด้านข้างของมือ” ซึ่งน้อยคนนักที่จะนึกถึงส่วนนี้ ทั้งๆ ที่จริงมันก็คือการมองภาพ”มือ” อันเดียวกันนี่เองนะครับ แต่เพราะเราไม่ได้ถูกปลูกฝังให้มีการขยายความคิดออกไปเป็นหลายรูปแบบ ทำให้ความคิดมัน”ตื้อ” เลยมีผลทำให้คนส่วนใหญ่ ขาดปัญญาที่จะเอาตัวรอดได้ในสังคมที่มีการคิดหาทางเอาเปรียบ”คนที่คิดไม่ทัน”
ซึ่งพอดีช่วงนี้มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นใน"วงการครู"เลยทำให้อยากจะขยายความคิดให้ชุมชนได้รับฟัง หากไม่ตรงหรือคิดว่าไม่เหมาะสม โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านผ่านบอร์ดนี้ด้วยครับ หาก"เยี่ยมยอดในยุทธจักรวงการครู"เพื่อผมจะได้ปรับความคิดให้ตรงกับท่านผู้รู้
ภูมิหลังก่อนวิจารณ์(ไม่ใช่ประจาน)โดยย่อ(ไม่นับปี 2522 - 2537)
1. การสอน
1.1 สอนสังคมศึกษา (15 วัน) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2538
1.2 สอนคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2539
1.3 สอนวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2540
1.4 สอนคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2541 – 2542
1.5 สอนภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2542
1.6 สอนแนะแนว ปีการศึกษา 2543 – 2547
1.7 สอนศิลปศึกษา ปีการศึกษา 2548 – 2549
1.8 สอนแนะแนว ปีการศึกษา 2550 – ปัจจุบัน
หมายเหตุ -สอนภาษาอังกฤษ ม.3 อยู่ 1 สัปดาห์ ก่อนจะมีคุณครูภาษาอังกฤษย้ายมารับหน้าที่สอนต่อไป
2. เกียรติบัตร/รางวัล
2.1 เกียรติบัตรจากกระทรวงฯ ผลงานด้านจริยศึกษาดีเด่น ปี พ.ศ. 2534
2.2 โล่เกียรติคุณ “หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร” ปี พ.ศ. 2543
2.3 เกียรติบัตร”คุณธรรม จริยธรรม”ดีเด่น จาก สพท.ปข. เขต 1 ปี พ.ศ.2552
3. การเป็นวิทยากร
3.1 ประชาสัมพันธ์ งานประจำปีของวัดนิคมราษฎร์รังสรรค์(ที่ พิเศษ /2535 ลวท. 14 ก.พ. 2535)
3.2 อบรมคุณธรรมฯ ณ โรงเรียนพระแม่มารีประจวบคีรีขันธ์(ที่ 110/2539 ลวท. 15 ก.ค. 2539)
3.3 อบรมหลักธรรมกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในยุคโลกาภิวัตน์ ณ เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
(ที่ ปข0023/3168 ลวท. 5 ก.ย. 2540)
ฯลฯ
หมายเหตุ ต้องแสดงคุณสมบัติที่ตัวเองมีก่อน เดี๋ยวจะมีคนออกมากล่าวว่า มีภูมิปัญญาแค่ไหน เที่ยวออกมาวิจารณ์คนอื่นเขา ความรู้แค่หางอึ่ง อย่ามาอวดอ้างสอนผู้รู้..งุงิ..
ก่อนแสดงความเห็น ให้ท่านลองอ่านบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ที่เพื่อนครูหลายๆ ท่านมองต่างมุมก่อน ตามภาพข้างล่างนี้ครับ ...อุ..อุ...อย่าแอบเอาไปบอกใครเชียว..เก็บไว้เป็นความลับ เดี๋ยวเจ้านายจะว่าเอา.....นะจะบอกให้....
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมแอบเอามาแสดงให้เห็น .....อย่างแรงก็มี แต่ไม่เอาเพราะบางท่านอาจรับไม่ได้
ประการที่ 1 "เรามานึกเสียก่อนว่าทำไมกระทรวงฯ(ต่อไปจะใช้คำแทนว่าท่าน เพื่อสะดวกในการพิมพ์)จึงต้องการประเมินครูทั้งระบบ" แน่นอนท่านมีเหตุผลแน่ๆ ผมก็เลยแอบใช้สมองอันฉลาดพอควรนึกหาเหตุผล ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็พอเห็นสาเหตุว่าต้องเป็นอย่างนี้ คือ
1. วัดความรู้ของคุณครู
ท่านให้เราดำเนินการสอนมานานแล้ว และท่านก็ได้รับข้อมูลจากการรายงานทั้งผลการประเมินระดับต่างๆ ผลการทดสอบตามสำนักต่างๆ ผลของความประพฤติของนักเรียนผ่านทางสื่อต่างๆ ฯลฯ ท่านก็เลยเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าเอ…… ครูมีความรู้ติดตัวเหลือเท่าใด เพราะครูไทยเพียงประเทศเดียวที่แบกรับภาระนักเรียนมากกว่าที่ประเทศอื่นๆ หลายเท่า แถมพ่วงงานจิปาถะอื่นๆอีกเพียบ ก็เลยอยากจะวัดครูดูบ้างว่า มีความรู้ ความเฉลียวฉลาดเพียงใด โดยจัดหาข้อทดสอบกลางๆ มาเป็นตัวชี้วัดด้านความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า การสังเคราะห์ (ครูเคยเอามาใช้วัดนักเรียน คราวนี้ท่านก็เลยนำเอากลับมาวัดคุณครูบ้าง… นี่หายกันไป… ไม่มีการเสียเปรียบ แหล่มจริงๆ ขอชื่นชม… ขอชื่นชม…….)แต่ว่าผมคิดเองนะครับว่า เอามาวัดผลยากนะครับท่าน เพราะครูทุกท่านที่จบมาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า หากไปบรรจุหรือสอนอยู่ในระดับชั้นอนุบาล หรือชั้นประถม หรือระดับ มัธยมต้น มัธยมปลาย จะให้ความรู้ยั่งยืนคงทนแบบตกผลึกความรู้ เท่าเดิมก็คงยาก เพราะนานๆ ไป ไม่ค่อยได้ใช้ความรู้จะให้เหลือเท่าเดิมมันก็กระไรอยู่นา..ท่านนา….. คนเรามีการจำการลืม….คงไม่มีใครจำได้หมดทุกเรื่อง คงต้องมีการส่งคืนความรู้บ้างหล่ะครับผม ผู้เขียนเอง จบวิทย์ แต่ประวัติการสอนข้างต้นก็คงจะพอมองออกกระมังว่า ตอนนี้เหมือนเป็ดเลย เป็นได้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งอะไรสักอย่าง แต่ดีนะพูดอะไรมาข้าฯรู้หมด แต่อดแสดงตน…….งุงิงุงิ…..
2. อยากให้ครูมีมาตรฐาน
คุณครูมีอยู่ทั่วทั้งประเทศตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ อยู่ในเมืองอยู่ตามป่าเขา บนดอยในดงไม้ใบป่าเบญจพรรณ ท่านก็คงกลัวว่าเดี๋ยวจะสอนคนละเนื้อหา พูดจาคนละภาษาสอน หาเกณฑ์ลงกันไม้ได้อาจเกิดผลเสียกับวงการศึกษาของไทย ท่านก็เลยอยากให้มีการวัดเป็นแบบเดียวกัน ครอบคลุมเนื้อหาสำหรับครูในไทย พูดจาภาษาสอนแบบเดียวกัน นักเรียนจะได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์เท่าเทียมกัน คุณครูมีความรู้ตามเนื้อหาสามารถประเมินและตรวจสอบหลักฐานได้เป็นระบบระเบียบยิ่งขึ้น(อีกอย่าง เวลาประเมินออกมา ผลปรากฏตามหลักฐานว่า โรงเรียน……. มีคุณครูที่มีเก่งจริงๆ ผู้ปกครองก็จะได้ไม่แห่แหนพาบุตรหลานเข้าแต่โรงเรียน …….. ทำให้ลดอัตราการฝากเข้าเรียนในโรงเรียนยอดนิยมลงไปได้ เรียกว่ายิงทีเดียวได้สองต่อ ทูอินวัน ด้วยนะ……. จะบอกให้)
3. อยากให้ครูมีคุณภาพ
เมื่อผ่านการทดสอบแล้วท่านก็สามารถจะทราบได้ว่าระดับคุณภาพครูเป็นแบบพื้นฐาน ปานกลาง ครูผู้นำ กลุ่มใดมากหรือน้อยกว่ากัน ซึ่งก็จะทำให้นักเรียนภาคภูมิใจในตัวครูว่ามีภูมิรู้ ภูมิ ธรรม ภูมิฐานสมกับเป็นครู อบรมสั่งสอนศิษย์อย่างมีคุณภาพ(ท่านอุตส่าห์คิดตั้งนาน ตอบสนองท่านบ้างเถอะ อย่าไปค่อนขอดนินทาท่านเลย
เราผู้น้อย ต้องคอยก้ม พนมกร รู้โอนอ่อน ย่อมดูงาม ตามวิถี
ท่านให้ทำ ก็น้อมนำ ทำให้ดี สมวจี ว่าครูไทย ใจอ่อนเอย…… .
(ไม่สามารถบอกที่มาได้ว่าวรรคสุดท้ายใครเป็นคนดัดแปลง…….)
4. สะดวกในการพัฒนาและส่งเสริมครู
เมื่อผลการสดสอบออกมาแล้ว ทีนี้ท่านก็สามารถใช้ข้อมูล 1 – 3 มาใช้ในการพัฒนาหรือส่งเสริมครู ดังนี้
ครูพื้นฐาน ก็พัฒนาเป็นครูปานกลาง ครูปานกลางก็พัฒนาเป็นครูผู้นำ ครูผู้นำก็ส่งเสริมให้ดีเลิศเป็นวิทยากร หรือไปศึกษาต่อให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น(แหม….. ฝันหวานและหรูเลิศจริงๆ ครับท่าน….สนับสนุน สนับสนุน….เอ…… แล้วจะเอาเวลาไหนมาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์หล่ะครับ……. แถมเวลาที่จะให้กับครอบครัวจะมีหรือเปล่านี่ …..น่าสงสัย น่าสงสัย)
5. ครูจะได้ใช้เทคโนโลยี
ต่อยอดจากข้อ 4 ตอนนี้คุณครูต้องเป็นเทคโนโลยีแล้วหล่ะครับ เพราะทั้ง 3 กลุ่มของครูท่านคงไม่เอามาฝึกอบรม สัมมนาตามหน่วยงานราชการหรือโรงแรมต่างๆ เพราะงบประมาณคงไม่น้อยแน่ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมารองรับการพัฒนาครู อาจเป็น internet โดย มาในรูป ประชุมทางไกล หนังสืออีเลกทรอนิกส์ โต้ตอบจดหมายอีเลกทรอนิกส์ ฯ ดาวโหลดลงมาอ่าน อัพโหลดข้อมูลผ่านไปยังหน่วยงาน จะอ่านและประชุมหรือส่งงานตรงไหนก็ได้ นี่เยี่ยมจริงๆ (น่าจะทำตั้งนานแล้วนะครับท่าน สนับสนุน……แต่เอ….. คอมพิวเตอร์ของใครกันละหว่า….)
6. สังคมยอมรับความเป็นครูเทียบเท่าสากล
พูดก็พูดเถอะ ครูไทยแทบจะไม่อยู่ในสายตาของใครหลายคน จริงๆ นะ (ขนาดผมสอนนักเรียน เคยสอบถามเรื่องอาชีพที่นักเรียนใฝ่ฝันในอนาคต ครูเป็น 1 ใน 1,000 ที่นักเรียนอยากจะเป็นเท่านั้นเอง ครูได้ภูมิใจก็แค่วันครูวันเดียว นอกนั้น ไม่เห็นใครพูดถึงเลย น่าน้อยใจยิ่งนัก….. อุอุ……อย่าร้องไห้)แต่เมื่อผลทดสอบออกมา เมื่อเป็นเช่นนี้ไซร้ ครูก็สามารถเชิดหน้าชูตาในสังคมอย่างภาคภูมิใจว่า ครูเก่งนะ สอนศิษย์อย่างมีหลักการ มีความก้าวหน้า มีเกียรติจริงๆ แถมเงินวิทยฐานะก็ทำให้ครูอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก
ประการที่ 2 คราวนี้ผมขอมองมุมต่างของผมบ้าง คงไม่ว่านะครับเพราะเป็นการแสดงความรู้อย่างหนึ่งของครูหนึ่งคนในครูทั้งหมดประมาณสามแสนกว่าคน
1. การวัดความรู้ของครู
ทำไมเราไม่ลองให้ครูสมัครใจหรือตัดสินใจเลือกบ้างละครับ เช่น
1.1 สมัครใจสอบวัดความรู้(สอบเป็นข้อสอบเป็นข้อๆ โดยกำหนดเนื้อหามาว่า สอบเรื่องอะไรบ้าง)
1.2 สมัครใจส่งเป็นผลงานทางวิชาการในเรื่องที่สอน(ภาคทฤษฎี)
1.3 สมัครใจส่งผลงานเรื่องที่สอนภาคปฏิบัติ(ชิ้นงานหรือนวัตกรรม)
1.4 อื่นๆ เช่น การนำเสนอข้อมูลด้วยตนเอง โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปแบบต่างๆ
1.5 สมัครใจส่งผลงานด้านการวิจัยทางการศึกษา
2. การมีมาตรฐาน
ให้ครูแต่ละท่านที่ดำเนินการตามวิธีในข้อที่ 1 ประเมินผลงานตนเองว่า ผลงานที่ส่งมาพิจารณานั้น ผลงานอยู่ในระดับใด ซึ่งท่านก็สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งคณะ เพื่อประเมินผลงานที่ครูส่งมาว่าเหมาะสมเพียงใด ควรปรับปรุง แก้ไขหรือเพิ่มเติมอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว สะดวกด้วยประการทั้งปวง
3. การมีคุณภาพ
จากข้อ 2 กรรมการสามารถพิจารณาผลงานของครูแต่ละท่าน(ครู)ว่า มีระดับคุณภาพเป็นอย่างไร โดยใช้เกณฑ์ประเมิน เช่น ความถูกต้องของเนื้อหา ความละเอียดรอบคอบ ความประณีตงดงาม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ฯ
4.การพัฒนาและส่งเสริม
เป็นของแน่นอนว่า เมื่อครูมีโอกาสนำเสนอผลงานในรูปแบบที่ตนเองถนัดหรือนำเสนอ ย่อมเป็นแรงจูงใจให้ครูแต่ละท่าน(ครู)พัฒนาขีดความสามารถของตนเองให้มากและสูงขึ้น เช่น ครู คศ 2 เป็นครู คศ 3 ครู คศ 3 ก็เป็นครูที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกต่อไปจนกว่าหมดเพดานบินนั่นแหละครับ(ไม่ต้องไปกระตุ้นด้วยวิธีอื่นๆ ให้เสียเวลาครับผม)
5. การใช้เทคโนโลยี
ท่านครับ ครูยุคนี้ไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีก็หมดทางไปแหละครับ เอาง่ายๆ อี - ออฟฟิศ ก็เข้ามาแทนที่ จะประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสาร ก็ผ่านทาง อี - ออฟฟิศแล้ว ใช้ไม่เป็นก็จบหล่ะครับผม อย่าห่วงเลย(ว่าแต่ท่านเถอะ ส่งทรัพยากรทางด้านเทคโนโลยีมาให้ครูเขาใช้บ้าง ไม่ใช่ให้ครูลงทุนเอง ถึงจะมีใช้กับเขา)
6. การยอมรับในสังคม
อะไรก็ตาม เมื่อครูได้ทำด้วยตนเอง สมัครใจส่งผลงานที่ตนถนัด ได้รับการพิจารณา มีการสร้างขวัญกำลังใจ ไม่มีนอกหรือในให้กังขา ย่อมเกิดความภาคภูมิใจในเกียรติประวัติของตนเอง แน่นอนครูย่อมเชิดหน้าชูตาได้อย่างสบายใจ จะทำสิ่งใดก็ไม่เขินอาย เพราะมีผลงานของตนเองที่ทำด้วยฝีมือตนเองเป็นที่ปรากฏครับท่าน
ขอบคุณที่ให้ผมได้สอบด้วยวิธีการที่ท่านถนัด แต่ไม่ใช่วิธีที่ผมสบายใจหรือสมัครใจ
ผลการประเมินออกมา หลายท่านภาคภูมิใจ ได้เป็น Master Teacher แต่อีกหลายคนกังวลใจ เพราะต้องเข้าไปลงทะเบียน utqonline ก็ไม่ทราบว่า ระบบดีเพียงใด เพราะต่อมาก็ แฮงค์ ตอนนี้ต้องโอนงานไปที่ผู้ดูแลระบบของเขตฯ ครับไม่เป็นไร หลายท่านทำใจได้แล้ว พร้อมเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนับวันเวลายิ่งน้อยลงในการทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพราะต้องมาทำระบบดูแลช่วยเหลือตนเอง(แก้ปัญหาถูกจุดหรือเปล่านี่?) บ่นเพ้อมาตามประสาคนแก่ รอเวลา...ครับผม
อ้อ..ขอแถมนิยายเรื่องหนึ่งครับ แต่เป็นกลอนแปด...ลองอ่านดูแล้วได้ความคิดเห็นอย่างไร แจ้งให้ทราบด้วยครับ ขอบพระคุณล่วงหน้า
มีน้ำใส หนึ่งแก้วตั้ง วางบนโต๊ะ
เด็กเห็นโอ๊ะ นึกน้ำหวาน ใจสุขศรี
ขี้เหล้าเห็น นึกเป็นสุรา ข้าเปรมปรีดิ์
ภิกษุ,ชี มองน้ำนึก ตรึกพรหมจรรย์
นักดนตรี มองน้ำนึก ตรึกเป็นโน้ต
ศิลปินโปรด วาดภาพมา ธาราสวรรค์
พ่อค้าเห็น หัวเราะร่า ตาเป็นมัน
คว้าน้ำนั้น ใส่ขวดขาย ได้สตางค์เอย.
จบแล้วครับ..นึกเอาเอง..คำตอบตามอัธยาศัยครับผม
สวัสดีครับ มุมต่างที่ดีมากครับ
สวัสดีค่ะท่าน..ขึ้นต้นก็มองมุมต่างคงจะมีอะไรมากกว่านี้นะคะ..รอด้วยใจจดจ่อค่ะ
เนื่องจากครูเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาสามารถจะกระทำต่อได้เป็นสิ่งแรกมั้งครับ
มาให้กำลังใจ "มองมุมต่าง ไม่ใช่มองต่างมุม" คะ
สวัสดีครับท่าน.
มองมุมนี้ดีมากนะ..
จากมิตรภาพ...
วณพ.
30 มิ.ย. 2553