หลวงพ่อเขียน
ธมฺมรกฺขิโต
ที่มา : (โดยสุเทพ
สอนทิม)
1.
ประวัติ
หลวงพ่อเขียนเมื่อเป็นฆราวาส มีชื่อว่า เสถียร
จันทร์แสง เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือน 4
ปีขาล ตรงกับ พ.ศ. 2399
หลวงพ่อเกิดที่บ้านตลิ่งชัน ตำบล ชอนไพร
อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
บ้านอยู่ติดกับวัดทุ่งเรไร บิดาชื่อทอง
มารดาชื่อปลิด ภายหลังได้ใช้นามสกุลว่า จันทร์แสง
หลวงพ่อเขียนมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 5
คน เป็นชาย 3 คน เป็นหญิง 2 คน
ดังนี้
คนที่ 1 ชื่อ
อินทร์ประยุกต์ (ชาย)
คนที่ 2 ชื่อ
ทองใบ (หญิง)
คนที่ 3 ชื่อ
เสถียร (ชาย)
คนที่ 4 ชื่อ
แสง
(ชาย)
คนที่ 5 ชื่อ
ระทวย (หญิง)
บิดา – มารดา ของหลวงพ่อเขียนมีอาชีพหลักคือ การทำนาและทำไร่ นอกจากอาชีพเหล่านี้แล้วบิดาหลวงพ่อเขียนยังเป็นคนทรงประจำหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า “สมุนเจ้าบ้าน” เมื่อยังเด็ก หลวงพ่อเขียนเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายและเฉลียวฉลาด เมื่ออายุได้ 12 ปี หลวงพ่อเขียนได้ขออนุญาตบิดา – มารดา ขอบรรพชาเป็นสามเณร (พ.ศ. 2411) อยู่ที่วัดทุ่งเรไร ในขณะที่บรรพชาเป็นสามเณรนั้น ได้ศึกษาอักษรสมัยตามควรแก่การ จากท่านอาจารย์วัด พออ่านออกเขียนได้ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาภาษาขอมควบคู่ไปกับภาษาไทย อันเนื่องมาจากความขยันเล่าเรียนเขียนอ่าน อาจารย์ผู้สอนจึงได้เปลี่ยนชื่อจากเสถียร เป็น “เขียน” สามเณรเขียนได้บรรพชาเป็นสามเณรตลอดมาจนกระทั่งอายุใกล้จะอุปสมบทได้ จึงได้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส
ปี พ.ศ. 2420 นายเขียนอายุ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบท ณ วัดภูเขาดิน (บางคนเรียกวัดนี้ว่า วัดภูกระดึง) ซึ่งอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีอาจารย์ประดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และมี พระอาจารย์สอน กับพระอาจารย์ทองมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลังจากหลวงพ่อเขียนอุปสมบทได้ 1 พรรษา บิดา – มารดาได้รบเร้าให้ หลวงพ่อเขียนลาสิกขาจากสมณะเพศ เพื่อจะได้มาแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านใกล้กัน หลวงพ่อเขียนไม่ยอมลาสิกขา จึงได้ลาโยมบิดา – มารดาไปเยี่ยมญาติชื่อบุญมา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่าน บุญมาแต่งงานกับนายอินทร์ บุญต้อ และได้พากันมาอยู่ที่บ้านวังตะกู อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
หลวงพ่อเขียนมาเยี่ยมญาติที่วัดวังตะกู มีกำนันขุนพล (มาด สุขขำ) กำนันตำบลวังตะกู กับนายอินทร์ บุญต้อ ได้นิมนต์ให้หลวงพ่อเขียนจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกู หลวงพ่อเขียนก็ไม่ขัดนิมนต์ จึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ 1 พรรษาหลังจากนั้นท่านได้ออกจากวัดวังตะกูไปศึกษาปริยัติธรรมอยู่ที่วัดเสาธงทอง จังหวัดลพบุรี โดยมีพระอาจารย์ทองเป็นอาจารย์ผู้สอน เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่วัดนี้เป็นเวลานานถึง 8 พรรษา หลวงพ่อเขียนก็ลาอาจารย์ทองเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อไปศึกษาปริยัติธรรมต่อ และได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดรังสี ซึ่งมีเจ้าคุณธรรมกิตติเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเขียนได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระอยู่วัดรังสีนานถึง 16 พรรษา พอดีขณะนั้นวัดรังสีจะโอนจากวัดมหานิกายเข้าเป็นวัดธรรมยุตติกนิกาย หลวงพ่อเขียนและพระอีก 2 องค์ ไม่ยอมโอนจากมหานิกาย หลวงพ่อเขียนจึงต้องออกจากวัดรังสีตั้งแต่นั้นมา และได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเสาธงทอง จังหวัดลพบุรีอีกครั้งหนึ่ง ขณะนั้นท่านเจ้าคุณสังฆสภาเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเขียนได้จำพรรษาอยู่วัดนี้อีก 9 พรรษา
ในปี พ.ศ. 2442 กำนันขุนพล พร้อมด้วยนายอินทร์ บุญต้อ ได้พากันเดินทางจากวัดวังตะกู ไปนิมนต์หลวงพ่อเขียนให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกู หลวงพ่อเขียนก็รับนิมนต์ และได้ออกเดินทางมาพร้อมกับกำนันขุนพลและนายอินทร์ มาจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกูตั้งแต่นั้นมา ในปี พ.ศ. 2459 ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อเขียนยังจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกู ผู้ใหญ่พลาย บ้านห้วยเรียงใต้ ได้นำม้าตัวเมียมาถวายหลวงพ่อ 1 ตัว และนายทอง บ้านวังอีแร้ง ได้นำม้าตัวผู้มาถวายอีก 1 ตัว ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ม้าทั้งสองขยายพันธุ์ออกมาประมาณ 70 ตัว นับว่าเป็นม้าที่มากฝูงหนึ่ง ในวัดของหลวงพ่อเขียน นอกจากจะมีม้าแล้ว ยังมีลิง ชะนี เก้ง กวาง วัวแดง จระเข้ (ขณะนี้จระเข้ตัวที่ชื่อสี ตายแล้ว อยู่ที่ศาลาเก้าเหลี่ยม อำเภอเมืองพิจิตร) เป็นที่น่าสังเกตว่าวัดนี้มีสัตว์เป็นจำนวนมาก คล้ายวัดของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
พ.ศ. 2484 ได้มีอาจารย์วัดรูปหนึ่งชื่อใหญ่ สนิทบุรุษ มาจากจังหวัดนครราชสีมา ได้มาขอพักอยู่ที่วัดวังตะกู ครั้นอยู่มานาน ๆ เข้า มีประชาชนนับถือมาก เลยถือโอกาสตั้งตัวเป็นเจ้าอาวาสเสียเอง ทั้งนี้เนื่องจากมีทายกบางคนให้ความสนับสนุน จึงได้รื้อกุฏิปลูกใหม่ให้เข้าแถวเป็นระเบียบ เป็นการขับไล่ หลวงพ่อเขียนทางอ้อม เว้นกุฏิหลวงพ่อเขียนไว้ให้อยู่โดดเดี่ยวรูปเดียว นอกจากนี้ยังได้สร้างเชิงตะกอนเผาศพไว้ด้านตะวันออกใกล้ ๆ กุฏิหลวงพ่อเขียน เวลาเผาศพลมจะพัดควันและกลิ่นเข้าหากุฏิหลวงพ่อเขียน เรื่องนี้หลวงพ่อเขียนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เพราะการเผาศพกว่าจะไหม้หมดต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ถึงแม้หลวงพ่อเขียนจะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างใด หลวงพ่อเขียนก็ทนอยู่ได้ ไม่ยอมหนีไปไหน ท่านชอบอยู่อย่างไม่จองเวรจองกรรม หลวงพ่อเขียนท่านระงับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นด้วยขันติธรรม ในขณะนั้นหลวงพ่อเขียนหมดที่พึ่ง เนื่องจากทายกเก่า ๆ ตายเกือบหมด
พ.ศ. 2491 กำนันเถาว์ ทิพย์ประเสริฐ บ้านสำนักขุนเณร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งกำนันตำบลวังงิ้ว ซึ่งเป็นผู้มองเห็นการณ์ไกล กำนันพร้อมคณะทายกจึงได้ พากันมานิมนต์หลวงพ่อเขียนให้ไปจำพรรษาอยู่วัดสำนักขุนเณร ซึ่งอยู่ห่างจากวัดวังตะกูไปทางตะวันออก ระยะทางวัดวังตะกูถึงวัดสำนักขุนเณร ประมาณ 5 กิโลเมตร และคณะที่ไปนิมนต์ได้รับปากบอกหลวงพ่อเขียนว่า จะช่วยกันสร้างกุฏิให้เพียงพอกับจำนวนพระภิกษุสงฆ์ ที่จะนำมาพำนักอยู่ที่วัดสำนักขุนเณรอย่างเพียงพอ นอกจากนั้นจะสร้างคอกม้าให้อย่างกว้างขวาง หลวงพ่อเขียนได้มองเห็นเจตนาดีและด้วยทนการอ้อนวอนไม่ไหว หลวงพ่อเขียนจึงรับนิมนต์ไปอยู่วัดสำนักขุนเณร ถึงแม้ว่าหลวงพ่อเขียนจะไปอยู่สำนักขุนเณรแล้วก็ตามหลวงพ่อเขียนก็ยังเทียวไปมาระหว่างวัดวังตะกูมิได้ขาด
พ.ศ. 2493 หลวงพ่อเขียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะจำพรรษาอยู่วัดสำนักขุนเณร ด้วยความอาลัยอาวรณ์วัดวังตะกู หลวงพ่อเขียนได้ไปกราบไหว้ต้นไม้ใหญ่ ๆ ทุกต้น ในบริเวณวัดวังตะกู ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเคยจำพรรษาอยู่วัดวังตะกูนานถึง 30 พรรษาก็อาจจะเป็นได้ เมื่อหลวงพ่อเขียนไปอยู่วัดสำนักขุนเณรแล้ว คณะทายกวัดวังตะกูก็พากันไปนิมนต์หลวงพ่อเขียนให้มาจำพรรษาอยู่วัดวังตะกู หลวงพ่อเขียนก็รับนิมนต์มาอยู่วัดวังตะกูตามเดิม ครั้นหลวงพ่อเขียนมาอยู่ได้ 1 อาทิตย์ หลวงพ่อเขียนก็ขอตัวกลับไปอยู่วัดสำนักขุนเณรอีก ด้วยความอาลัยรักวัดทั้งสองหลวงพ่อเขียนจึงเทียวไปเทียวมามิได้ขาด
กาลอวสานแห่งชีวิต
หลวงพ่อเขียนมีโรคประจำตัวอยู่
คือ โรคหืด
ซึ่งเป็นโรคที่ทรมานหลวงพ่อเขียนอย่างมาก
คราใดที่โรคกำเริบ หลวงพ่อเขียนจะไม่แสดงอาการใด ๆ
ทั้งสิ้น แต่หลวงพ่อเขียนจะระงับด้วยขันติธรรมอันสูง
หลวงพ่อเขียนฉันภัตตาหารไม่ค่อยได้ เรี่ยวแรงก็หมดไปทุกที
ด้วยความห่วงใยของคณะกรรมการวัดและผู้ที่เคารพนับถือในตัวหลวงพ่อเขียน
จึงได้พาหลวงพ่อเขียนมารักษาที่คลีนิคธรรมพยาบาล
ตลาดบางมูลนาก เนื่องด้วยความชราและโรคหืดกำเริบ
สุดความสามารถของหมอจะรักษาท่านได้
หลวงพ่อเขียนมรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อคืนวันที่ 21
ธันวาคม 2507 เวลา 23.50 น.
ตรงกับวันแรม 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง
รวมอายุได้ 108 ปี
คณะศิษยานุศิษย์จึงได้นำศพของหลวงพ่อเขียนไปทำแจงที่วัดชัยมงคล 7
วัน 7 คืน
การมรณภาพของหลวงพ่อเขียนนำความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไป
และได้พากันมาเป็นเจ้าภาพงานศพของหลวงพ่อเขียนมากเป็นประวัติการณ์ หลังจากบำเพ็ญกุศลแก่หลวงพ่อเขียนครบ
7 วัน 7 คืนแล้ว
จึงแห่ศพมาทำแจงต่อที่วัดสำนักขุนเณรอีก 7 วัน
7 คืน ก่อนมรณภาพหลวงพ่อเขียนสั่งไว้ว่า
ไม่ให้เผาศพท่าน และให้นำศพท่านบรรจุในอนุสาวรีย์เข้าไว้
ดังนั้น คณะกรรมการจึงได้จัดการตามสั่งของหลวงพ่อเขียน
ปัจจุบันศพหลวงพ่อเขียนได้บรรจุไว้
ณ อนุสาวรีย์ วัดสำนักขุนเณร ตำบลสำนักขุนเณร
อำเภอดงเจริญ
อนุสาวรีย์หลวงพ่อเขียน
ธมฺมรกฺขิโต
ที่มา : (โดยสุเทพ
สอนทิม)
ศพหลวงพ่อเขียนที่บรรจุไว้ ณ
อนุสาวรีย์หลวงพ่อเขียน ธมฺมรกฺขิโต
วัดสำนักขุนเณร
ที่มา : (โดยสุเทพ
สอนทิม)
1.2
ผลงาน
หลวงพ่อเขียนนับว่าเป็นพระนักก่อสร้างรูปหนึ่ง จะสังเกตได้ว่า
เมื่อหลวงพ่อเขียนไปอยู่ ณ วัดใด
จะพยายามสร้างสรรค์วัดนั้นให้เจริญรุ่งเรือง
การก่อสร้างวัดวังตะกู
เมื่อหลวงพ่อเขียนจำพรรษาอยู่วัดวังตะกู
ได้มีประชาชนในตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงพากันมาทำบุญ
และด้วยความศรัทธาได้นำบุตรหลานมาฝากเป็นลูกศิษย์
เพื่อศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเขียนเป็นจำนวนมาก
ในขณะนั้นทางบ้านดอนของอำเภอบางมูลนาก
ตำบลวังตะกูได้เปิดโรงเรียนประชาบาลขึ้น โดยอาศัยศาลาวัดวังตะกูเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนของบุตร
ธิดา ในตำบลนั้น
ในความอุปการะของหลวงพ่อเขียนเป็นแห่งที่สองรองจากตำบลภูมิ
จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อเขียนเป็นผู้สนับสนุนการศึกษาเป็นอย่างดียิ่ง
นอกจากนี้ หลวงพ่อเขียนได้ร่วมมือกับทายก
ช่วยกันทำการก่อสร้างถาวรวัตถุไว้ให้ปรากฏในพระพุทธศาสนา
คือ
1. สร้างกุฏิ 4 ห้อง จำนวน 2
หลัง
2. สร้างกุฏิ 3 ห้อง จำนวน 2
หลัง
กุฏิที่วัดวังตะกู
ที่มา :
(โดยสุเทพ สอนทิม)
3. สร้างสะพานไม้ถาวรข้ามคลอง
พร้อมกับสร้างศาลารมณ์ที่สะพาน ข้ามคลอง 1 หลัง
4. สร้างหอระฆัง – สร้างระฆัง 3 ลูก
5. สร้างพระสารีบุตร – พระโมคคัลลานะ พระศรีอาริยะ
6. สร้างพระประธานและเริ่มสร้างอุโบสถ 1 หลัง
สร้างกำแพงแก้วล้อมรอบ สร้างซุ้มประตูพระอุโบสถ
ก่ออิฐยังไม่ทันจะฉาบปูนก็มีลมพายุพัดอย่างแรง
ทำให้พังลงไปหมด ปัจจุบันได้รื้อถอนไปหมดแล้ว
7.
นอกจากนี้หลวงพ่อเขียนยังได้สร้างโรงเรียนให้เด็กได้ศึกษาเล่าเรียนถึง
1 หลัง
โรงเรียนที่หลวงพ่อเขียนสร้าง
โรงเรียนวังตะกูราษฎร์อุทิศ
ที่มา :
(โดยสุเทพ สอนทิม)
มีผู้เล่าว่า ก่อนที่ลมจะพัดพระอุโบสถพัง หลวงพ่อเขียนได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างแรง ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บรักษาเงินสดของวัดนั้นได้มอบให้ทายกเป็นผู้เก็บรักษาและถือบัญชีการก่อสร้างพระอุโบสถ ทายกได้นำเงินที่ตนเก็บรักษาเหล่านั้นไปซื้อไร่ ซื้อนา ปลูกบ้านของตน เมื่อทางวัดเรียกเอาเงินเพื่อมาชำระการก่อสร้างพระอุโบสถ ทายกผู้นั้นบอกว่าเงินหมด บัญชีเรี่ยไรก็สูญหาย ไม่ยอมนำมาแสดง หลังจากนั้นพายุก็พัดพระอุโบสถพังหมด เป็นอันว่าการสร้างพระอุโบสถไม่สำเร็จดังความประสงค์ของหลวงพ่อเขียน
การก่อสร้างวัดสำนักขุนเณร
หลวงพ่อเขียนพร้อมด้วยกำนันเถาว์ ทิพย์ประเสริฐ ครูเจริญ อาจอง ครูใหญ่โรงเรียนวัดสำนักขุนเณร และคณะทายก ตลอดจนพ่อค้าประชาชน ได้ช่วยกันก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาขึ้น ณ ที่วัดสำนักขุนเณร ดังนี้
1. สร้างหอสวดมนต์
1 หลัง
2. สร้างหอประชุมสงฆ์
3. สร้างสะพานข้ามคลองเชื่อมวัดกับบ้าน
4. สร้างศาลาหลังใหญ่ กว้าง 12 วา
ยาว 15 วา สิ้นเงิน 120,000 บาท
ศาลาหลังใหญ่
(ปัจจุบันกำลังดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่)
ที่มา
: (โดยสุเทพ สอนทิม)
5. สร้างพระอุโบสถ 1 หลัง สิ้นเงิน 200,000 บาท
พระอุโบสถ
สร้างเมื่อ พ.ศ. 2505
ที่มา :
(โดยสุเทพ สอนทิม)
6. สร้างพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1 หลัง ลักษณะทรงไทยประยุกต์ ซึ่งสิ่งของทุกชิ้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ชาวบ้านเป็นผู้บริจาคให้กับทางวัด เพื่อเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ให้กับเยาวชนรุ่นหลังสืบต่อไป
พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ลักษณะทรงไทยประยุกต์
ที่มา :
(ประวัติหลวงพ่อเขียน ธมฺมรกฺขิโต
วัดสำนักขุนเณร, ม.ป.ป.)
สิ่งของทุกชิ้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์
ชาวบ้านเป็นผู้บริจาคให้กับทางวัด
เพื่อเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ให้กับเยาวชนรุ่นหลังสืบต่อไป
ที่มา
: (ประวัติหลวงพ่อเขียน ธมฺมรกฺขิโต
วัดสำนักขุนเณร, ม.ป.ป.)
หลวงพ่อเขียนสร้างโรงเรียน
กำนันเถาว์ ทิพย์ประเสริฐ ได้ยกที่ดินให้ เพื่อทำการก่อสร้างอาคารเรียน หลวงพ่อเขียนท่านได้มองเห็นความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน จึงได้มอบเงินจำนวน 150,000 บาท มอบให้แก่ทางราชการ เพื่อเป็นเงินสมทบการก่อสร้างอาคารเรียนแห่งนี้ อยู่ในบริเวณวัดสำนักขุนเณร เมื่อสร้างเสร็จทางราชการจึงได้ ตั้งชื่อโรงเรียนหลังนี้ว่า โรงเรียนวัดสำนักขุนเณร (หลวงพ่อเขียนอุทิศ) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีของหลวงพ่อเขียน โรงเรียนหลังนี้เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 (ปัจจุบันเปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ทางทิศตะวันออกของวัด) นับว่าหลวงพ่อเขียนได้ช่วยสนับสนุนการศึกษาของบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ควรแก่การสรรเสริญบูชาน้ำใจ อันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ยากยิ่งที่จะหาผู้ใดมาทัดเทียมหลวงพ่อเขียนได้
หลวงพ่อเขียนกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชน
เหตุที่พูดว่า หลวงพ่อเขียนกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนนั้น ด้วยเหตุผลว่า บ้านสำนักขุนเณรเป็นชนบทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ของท้องที่อำเภอบางมูลนาก หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับวัดสำนักขุนเณร มีห้องแถวขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ 2 – 3 ห้องเท่านั้น การคมนาคมก็ไม่สะดวก หลังจากหลวงพ่อเขียนได้มาจำพรรษาอยู่วัดนี้แล้ว มีประชาชนหลั่งไหลมานมัสการหลวงพ่อเขียนด้วยความเลื่อมใสศรัทธาทุกวัน วันหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนมาก บางวันถึงร้อยคนก็มี ทั้งนี้ก็เพื่อมาให้หลวงพ่อเขียนรดน้ำมนต์ – สะเดาะเคราะห์ ขอเครื่องรางของขลัง บางคนก็มาให้หลวงพ่อเขียนดูดวงชะตาราศี มาขอโชคลาภจากหลวงพ่อเขียน บางคนถึงกับมานอนค้างที่วัดเลยก็มี หลวงพ่อเขียนต้องสร้างโรงครัวเพื่อเลี้ยงคนเหล่านั้น โรงครัวของหลวงพ่อเขียนอยู่ได้ก็เพราะมีผู้มีจิตศรัทธาในหลวงพ่อเขียน นำข้าวสารและอาหารมาเข้าโรงครัวมิได้ขาด
ด้วยเหตุที่มีประชาชนมาหาหลวงพ่อเขียนทุกวันนี้เอง ตลาดห้องแถวที่เดิมมีอยู่ 2 – 3 ห้อง ก็กลายเป็นห้องแถวจำนวนสิบ ๆ ห้องเกิดขึ้น มีอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย บรรดาร้านค้าได้เปิดกันคึกคัก ความเจริญที่เกิดขึ้นเพราะหลวงพ่อเขียนโดยแท้ อาจจะพูดได้ว่าบารมีของหลวงพ่อเขียนทำให้ชุมชนเจริญก้าวหน้า
3. เรื่องเล่าอภินิหาร
3.1 เรื่องทายกยักยอกเงินก่อสร้างอุโบสถ
ปี พ.ศ. 2471 หลวงพ่อเขียนพร้อมด้วยทายก ทายิกา ได้ช่วยกันออกทุนทรัพย์และช่วยกันหาเงินสร้างพระอุโบสถ กำแพงแก้ว ซุ้มประตูและเจดีย์ ทายกผู้หนึ่งเป็นผู้รักษาเงินและบัญชีได้ยักยอกเอาเงินก่อสร้างพระอุโบสถไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ได้ทำลายหลักฐานบัญชีเดิม และทำบัญชีปลอมแปลงขึ้นมาใหม่ เมื่อหลวงพ่อเขียนให้นำเงินมาจ่ายเป็นค่าแรงงานก่อสร้างให้แก่นายช่าง ทายกผู้นั้นปฏิเสธว่าเงินที่ตนเก็บไว้นั้นได้เบิกจ่ายไปหมดบัญชีแล้ว การก่อสร้างพระอุโบสถจึงได้หยุดชะงักลงทันทีไม่แล้วเสร็จ เมื่อชาวบ้านรู้เรื่องก็พากันมาถามหลวงพ่อเขียน ๆ บอกชาวบ้านว่า “ใครมันโกงเงินสร้างโบสถ์ ไม่ว่ารายไหนก็รายนั้น เป็นต้องคลานขี้คลานเยี่ยว มันจะต้องฉิบหายวายวอด ในที่สุดมันจะต้องถือกะลาขอทานเขากิน มันไม่จำเริญสักคนหรอกน่อ” อยู่ต่อมาไม่นาน ทายกผู้นั้นกับภรรยาตลอดจนลูกชายลูกสาวเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาในคราวเดียวกัน คันลูกนัยน์ตา รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ผลที่สุดตาบอดกันหมดทุกคน หลานของทายกซึ่งเป็นลูกของลูกชายลูกสาวของทายกก็เกิดมาเสียนัยน์ตากันคนละข้าง ต้องทนทุกข์ทรมานคลานขี้คลานเยี่ยวดังปากหลวงพ่อเขียนว่า เงินทองที่มีอยู่ก็ได้ใช้รักษาตัวจนหมดสิ้น ขายไร่ขายนาบ้านช่อง เพื่อนำเงินมารักษา รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ลูกหลานต้องจูงไปเที่ยวขอทานเขากิน
3.2 อ้ายเขียวยักษ์กัดหลวงพ่อเขียน
เมื่อปี พ.ศ. 2477 นายทอง บ้านวังอีแร้ง ได้นำม้าตัวผู้สีเขียว ชื่ออ้ายเขียวยักษ์ รูปร่างใหญ่ ค่อนข้างดุ เจ้าของเห็นว่าเป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก จึงได้นำมาถวายหลวงพ่อเขียน ประมาณสักหนึ่งอาทิตย์ต่อมา หลวงพ่อเขียนจูงอ้ายเขียวยักษ์ไปกินน้ำที่สระน้ำ ขณะที่อ้ายเขียวยักษ์เดินนำหน้าหลวงพ่อเขียนมันได้วิ่ง หวนกลับมาชนหลวงพ่อเขียนและกัดหลวงพ่อเขียนที่หน้าผาก ไหล่ขวา และที่หน้าอก แต่กัดหลวงพ่อเขียนไม่เข้า มีแต่รอยบุบ เขียวช้ำ หลายคนที่อยู่ ณ ที่นั่น ได้พากันคว้าไม้ตรงเข้าจะตีอ้ายเขียวยักษ์ หลวงพ่อเขียนได้ห้ามไว้ไม่ให้ตี พร้อมกับพูดว่า “อ้ายเขียวมันลองหลวงพ่อน่อ” วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเขียนได้เสกหญ้า เสกข้าวเปลือกให้มันกิน แล้วลงอักขระที่เล็บเท้าทั้งสี่ข้าง ตั้งแต่นั้นมาอ้ายเขียวยักษ์กลายเป็นม้าเชื่องสำหรับหลวงพ่อเขียน
3.3 ม้าหลวงพ่อเขียนถูกยิง
อ้ายเขียวยักษ์ได้หลุดเชือกไปกินข้าวในนาของทายกนวม ทายกนวมโมโหคว้าปืนลูกยิงอ้ายเขียวยักษ์ แต่ไม่ระคายผิวหนังอ้ายเขียวยักษ์เลย ฝ่ายนางมาภรรยาทายกนวมโมโหได้ไปยืนด่าว่าหลวงพ่อเขียนด้วยถ้อยคำหยาบคาย หลวงพ่อเขียนจึงบอกว่า “มึงทำเป็นด่ากูดีไปเถอะ ระวังปากมึงจะเน่า” ต่อมานางมาได้เกิดป่วยปากเน่าถึงกับล้มหมอน นอนเสื่อ หลวงพ่อเขียนสงสารจึงให้นางขาวภรรยาตาแป๊ะหลี ไปบอกนางมาให้หาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาหลวงพ่อเขียน นางมาได้ปฏิบัติตาม ไม่ช้าก็หายป่วย
3.4 ม้าหลวงพ่อเขียนแบ่งกันเองเป็น 3 ฝูง
พ.ศ. 2477 ม้าของหลวงพ่อเขียนมีจำนวนถึง 70
ตัว ในจำนวนนี้มันได้แบ่งพวกกันเองออกเป็น 3
ฝูง ฝูงละเกือบจะเท่า ๆ กัน
ฝูงที่ 1 มีอ้ายเขียวยักษ์เป็นจ่าฝูง
ฝูงที่ 2 มีอ้ายสีประดู่เป็นจ่าฝูง
ฝูงที่ 3 มีอ้ายแสงจันทร์เป็นจ่าฝูง
ในฤดูร้อน หน้าแล้งม้าจะถูกปล่อยให้ไปหากิน โดยหัวหน้าฝูงจะเป็นผู้นำฝูงออกไปหากินในถิ่นไกล ๆ แต่ละฝูงจะอยู่ห่างกันไม่เกิน 200 เมตร พอเย็นลงมันก็จะทยอยกันกลับมาวัด เข้าคอกเองโดยไม่ต้องมีคนเลี้ยง และไล่เข้าคอก
3.5 เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายอินทร์ บุญต้อ ผู้เป็นพี่เขย
ม้าไปกินข้าวของนายอินทร์
นายอินทร์โมโหคว้ามีดหวดขว้างไปถูกขาม้าพอดี อยู่ต่อมาได้
2 วัน นายอินทร์ไปหวดหญ้าที่รั้วข้างบ้าน
มีดหวดหลุดกระเด็นมาโดนขาตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ
ต้องมาให้หลวงพ่อเขียนทำน้ำมันใส่ให้
ครั้งที่สอง ม้าไปกินข้าวของนายอินทร์อีก
นายอินทร์ได้ใช้เหล็กแหลมพุ่งโดนขาหน้าม้า พอตกค่ำลงนายอินทร์นั่งคุยกับญาติที่ระเบียงเรือน
ขณะที่นั่งคุยอยู่งูตัวหนึ่งตกลงมาจากหลังคาได้กัดที่นิ้วก้อยเท้าของนายอินทร์
มีอาการปวด บวม แผลเน่าจนกระทั้งนิ้วก้อยหลุด
จึงได้ไปกราบไหว้ขอโทษหลวงพ่อเขียน จึงหายเป็นปกติ
3.6 เรื่องที่เกิดกับนายแสน
ม้าของหลวงพ่อเขียนไปกินข้าวโพดของนายแสน นายแสนคว้ามีด ฟันถูกท้องม้าตัวเมียเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ม้าพากันวิ่งกลับวัด หลวงพ่อเขียนรู้ว่าม้า ถูกฟันจึงคว้าผ้าสบงลงจากกุฏิเอาผ้าชุบน้ำมันปิดทาบที่แผล แล้วเอาไปคาดท้องม้า มัดผ้าทาบน้ำมันไว้จนแน่น จนกระทั่งแผลหายสนิท ส่วนนายแสนอยู่ต่อมาไม่นานได้ป่วยเป็นโรคท้องมารไปไหนมาไหนไม่ได้ จึงให้ญาติช่วยหามไปหาหลวงพ่อเขียนและขอขมาหลวงพ่อเขียน ไม่นานนายแสนก็หายจากโรคท้องมารเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
3.7 เรื่องที่เกิดกับกำนันอิทธิพลผู้หนึ่ง
อ้ายเขียวยักษ์นำฝูงออกหากินได้พบกับเจ้าลอยลมม้าของกำนันตำบลวังตะกูผู้หนึ่งก็เลยกัดกันขึ้น กำนันโมโหมากคว้าปืนลูกซองยิงอ้ายเขียวยักษ์ แต่เมื่อลั่นปืนออกไปกระสุนปืนกลับถูกเจ้าลอยลมล้มตายในทันทีทำให้กำนันโมโหมาก ยิงปืนใส่ฝูงม้าหลายนัด ม้าตายไปทั้งหมด 7 ตัว ม้าที่เหลือจากถูกยิงตายได้พากันวิ่งกลับวัด ตัวเมียลูกอ่อนวิ่งไปตายที่หน้ากุฏิหลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเขียนพูดว่า “ใครมันทำกับพวกมึงอย่างไร ในสามวันเจ็ดวัน มันจะต้องโดนอย่างมึงบ้างจนได้น่อ” หลังจากเกิดเหตุสองสามวันกำนันผู้นั้นไปตรวจฝายที่กั้นน้ำที่บ้านท่าโป่งในคืนวันนั้นเองกำนันได้ถูกคนร้ายรอบยิงถึงแก่ความตาย การตายของกำนันจึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก
--ต่อ--
รบกวนฝากเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยครับ