บันทึกการเยี่ยมกัลยาณมิตร
โครงการวิจัยและพัฒนาเกณฑ์การปรากฏตัวภาพบุหรี่ในสื่อภาพยนตร์
ตามระดับความเหมาะสมของภาพยนตร์
ครั้งที่ ๓/๒๕๕๒ วันพุธที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๓๐ -๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ
ผู้ที่เข้าพบ : คุณ นายชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทอง
คณะผู้เข้าร่วมกิจกรรม : อาจารย์อิทธิพล ปรีติประสงค์ หัวหน้าโครงการ ฯ
: คุณอารยา ชินวรโกมล
: คุณ สุรวดี รักดี
: คุณสาวิตรี อริยชัยเดช
: คุณสถาพร จิรัตนานนท์
วันนี้ทีมโครงการวิจัยมีนัดพบกับตัวแทนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติเพื่อฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเกณฑ์ของภาพบุหรี่ในภาพยนตร์ ว่าควรจะเป็นอย่างไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และหาแนวทางในการทำงานร่วมกันในประเด็นดังกล่าว โดยสมาพันธ์เป็นองค์กรเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องทางด้านภาพยนตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเลิศทางด้านภาพยนตร์ เราได้มีโอกาสพบคุณชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทอง อดีตนายกสมาพันธ์ ซึ่งคุณชัยวัฒน์เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานเรื่องการของข้อกำหนดต่างๆตามพรบ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พศ. ๒๕๕๑
เมื่อเริ่มแนะนำโครงการวิจัย คุณชัยวัฒน์ได้ให้ข้อเสนอไว้ในเบื้องต้นก่อนเพื่อจะดำเนินขับเคลื่อนกฎกระทรวงต่อไปว่า...ขณะนี้การดำเนินงานอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังนั้นคาดว่าจะมีเวลา ๑-๒ สัปดาห์ในการเข้าพบเป็นอย่างไม่เป็นทางการเพื่อหารือประเด็นกฎเกณฑ์ของการปรากฏตัวของภาพบุหรี่ เนื่องจากหากข้อที่นำเสนอนั้นไม่ขัดในหลักการอาจจะสามารถเพิ่มเติมถ้อยคำลงไปได้..ทันท่วงที
ระบุไว้ในกม.ช่วยเพื่ออุ้มหนังไทย
เพื่อไม่ให้มีสองมาตรฐานในการพิจารณาเรื่องบุหรี่ในภาพยนตร์ คุณชัยวัฒน์มองว่าควรจะมีกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้ชัดเจนในกฎหมายไปเลย เพราะเมื่อมีภาพยนตร์ต่างประเทศที่จะเข้ามาฉายในบ้านเราก็จะต้องบังคับตามกฎหมายไทย รวมถึงเรื่องการปรากฏตัวของบุหรี่ด้วย เพราะหากมีการณรงค์กันในภาพยนตร์ไทยกันเองเป็นเพียงจรรยาบรรณของคนในวงการ แต่ภาพยนตร์ต่างประเทศเขาไม่ได้ทำตามด้วยเพราะไม่ใช่กฎหมายที่เขาต้องทำตาม เป็นการปิดโอกาสภาพยนตร์ทั้งเรื่องความสร้างสรรค์และเรื่องการตลาดมากขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักก็มีแต่เมืองไทยเท่านั้น หากภาพยนตร์ไทยขายคนไทยไม่ได้ก็ถือว่าเจ๊งไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้นการระบุไว้เป็นกฎหมายที่ชัดเจนก็จะได้นำมาใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศ
โดยส่วนตัวของคุณชัยวัฒน์เห็นว่าอาจจะมีการระบุห้ามไว้ไนอนุมาตร ๑-๔ และเริ่มมีได้ในอนุมาตรา ๕ คืออายุ ๑๘ ปีขึ้นไปโดยจะให้มีสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ โดยอนุมาตร ๖ ก็เว้นที่ว่างไปเพื่อการสร้างสรรค์ต่อไป
การกำหนดสัดส่วนภาพยนตร์ เรื่องดีที่อาจจะยังไม่จำเป็น
เนื่องจากจะทำให้ภาพยนตร์ไทยมีปัญหามากกว่า ปัจจุบันภาพยนตร์ต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณร้อยละ ๒๐ ของภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และเมืองไทยไม่ ภาพยนตร์ (software) เพียงพอที่จะนำมาฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ผลิตรายย่อยจะขอโอกาสเพื่อให้ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย ซึ่งในบางครั้งผลงานก็ยังไม่ได้รับความสนใจ เจ้าของโรงภาพยนตร์ก็มีความจำเป็นต้องถอดภาพยนตร์ดังกล่าวออก ดังนั้นหากกำหนดสัดส่วนว่าต้องมีภาพยนตร์ไทยเท่าไร ภาพยนตร์ต่างประเทศเท่าไรแล้วนั้นแต่เมืองไทยไม่พร้อมจะมีปัญหามากกว่า จึงมีทางออกเป็นบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงว่า “ยังไม่กำหนดสัดส่วนเพราะยังไม่มีความจำเป็น”
โดยได้เล่ากรณีศึกษา ประเทศเกาหลีว่าเขามีการกำหนดสัดส่วนเนื่องจากได้รับงบประมาณเป็นหลักพันล้านในการอัดฉีดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทำให้มีภาพยนตร์เกาหลีจำนวนมากพอที่จะกำหนดสัดส่วนได้
และในอดีตที่ ประเทศไทยไม่มี LAB เป็นของตัวเองแล้วเวลากลับเข้าในประเทศจะมีการเสียภาษี ฟิล์ม คุณนายแดง ขอให้ช่วยภาพยนตร์ไทยทางอ้อมโดยให้ออกฎกระทรวงว่าภาพยนตร์ไทยเสียภาษีฟิล์มเมตร ๒ บาทและภาพยนตร์ต่างประเทศเมตรละ ๓๐ บาท ก็เกิดปรากฏหารเขาไม่นำภาพยนตร์เข้ามาฉายเลย โดยในขณะนั้นมีการบีบกันในระดับรัฐบาล/รัฐบาลให้ลดลงจาก ๓๐ บาทเป็น ๑๕ บาท แสดงให้เห็นภาพยนตร์ต่างประเทศยังคงมีอิทธิพลต่อการคนไทยอยู่มาก
แนวทางในการทำงานร่วมกัน
นอกจากหารือเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรากฏตัวของภาพบุหรี่ยังเรียนเชิญสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดเสวนาในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ที่จะจัดขึ้นที่ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยคุณชัยวัฒน์มีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือพร้อมกันนี้ยังให้ทางโครงการส่งเรื่องไปยังนายกสมาพันธ์ได้
ไม่มีความเห็น