คอนเสิร์ต “สู่ น้ำ ฟ้า ป่า ดิน ดาว” ของ วงดอนผีบิน


รายได้จากงานนี้เพื่อสมทบทุนศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้า

  

  

  

ค่ำคืนวันที่ 30 มกราคม 2553 ที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตเล็กๆ ที่แสดงวันเดียวกับคอนเสิร์ต Pop Rock อย่าง ไมโคร  คอนเสิร์ตที่ว่านี้คือคอนเสิร์ตของวง "ดอนผีบิน" วงดนตรีแนว Trash/Speed/Progressive/Death Metal ของสามพี่น้องตระกูลแก้วทิตย์ ที่แฟนเพลงรอคอยการแสดงสดนี้มานานเกือบ 13 ปี จากครั้งที่แล้วกับงาน “Return to the Nature Concert” ที่เคยจัดไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2540 ณ. สถานที่เดียวกับงานครั้งนี้คือที่หอประชุม AUA  มาครั้งนี้เป็นกิจกรรมคอนเสิร์ตในชื่อ "สู่ น้ำ ฟ้า ป่า ดิน ดาว" รายได้จากงานนี้เพื่อสมทบทุนศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้า สำหรับท่านที่เพิ่งจะได้ยินหรือสงสัยว่าวงดนตรีดอนผีบินเป็นใครมาจากไหนนั้น ขอให้อ่านรายละเอียดในเวบไซค์ของวงได้ที่ http://www.donpheebin.com/

  

  

ส่วนตัวผมเองรักและชื่นชอบวงดนตรีนี้มานานแล้ว ติดตามผลงานตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกคือชุด “โลกมืด” และติดตามสะสมผลงานมาโดยตลอด แต่ไม่ได้เป็น Fan Club ในเวบไซค์อย่างเป็นทางการ ผมเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนเพลงของวงดอนผีบินนี้น่าจะมีอยู่มากพอสมควร เพียงแต่อาจจะยังไม่แสดงตัวออกมาเท่านั้นเอง  เหตุผลที่ชอบไม่ได้อยู่ที่เรื่องการแนวดนตรีเท่านั้น แต่ชีวิตของสมาชิกของวงน่าจะเป็นแบบอย่างให้กับวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี เนื้อเพลงที่แต่งในแต่ละชุดค่อนข้างเป็นปรัชญามากๆ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้ดีมากเลยทีเดียว เป็นวงดนตรีที่ทำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ ครูสมบัติ  แก้วทิตย์ พี่ใหญ่ของวง ที่ทำงานด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง จนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวครั้งที่ 7 เมื่อปี 2548 (อ่านรายละเอียดผลงานของครูสมบัติได้ที่ http://pttinternet.pttplc.com/greenglobe/2548/personal-09.html) นอกจากนี้ยังได้รับเชิญไปออกรายการปราชญ์เดินดิน ทางช่อง 9 รายการคนหวงแผ่นดิน ของ ช่อง 11 และรายการจุดชนวนความคิดของ Nation Chanel ด้วย และอื่นๆ อีกมากมาย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.donpheebin.com/index_root.php?pasa=thai)

  

 

 

 

 

 

ตามกำหนดการของงานจะเริ่มประมาณ 4 โมงเย็น แต่วันนั้มผมต้องทำงานกว่าจะเลิกก็ 5 โมงเย็น หลังจากเลิกงาน ผมก็รีบเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานนีราชดำริ แล้วเดินไปอีกไปไม่ไกลถึง AUA ไปถึงงานประมาณ 5 โมงครึ่ง บริเวณหน้างานค่อนข้างคึกคักพอสมควร  บริเวณงานมีนิทรรศการของผลงานของครูสมบัติและศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้าด้วย

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศหน้างานเป็นกันเองอย่างน่าชื่นชมกับกลุ่มคนทำงานที่อุทิศแรงกายแรงใจเพื่อโลกและสิ่งแวดล้อมนี้ บริเวณหน้างานจะเป็นซุ้มลงนามทักทาย ด้วยสมุดลงนาม ผมก็เข้าไปลงนามก่อน ซึ่งทีมงานได้แจกหนังสือเรื่องราวของภูสันตะวันลับฟ้า ไว้ให้ จากก็ไปรับบัตรที่ได้จองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว บัตรที่ผมจองไว้ เป็นบัตร Package ราคา 1,200 บาท ซึ่งจะประกอบไปด้วย บัตรเข้าชมคอนเสิร์ต เสื้อยืด และ DVD บันทึกการแสดงสดครั้งนี้ที่จะส่งให้ภายหลัง บัตร Package ที่ผมได้รับจากทีมงานที่จัดไว้ในวันนั้นประกอบไปด้วยถุงผ้าโลโกดอนผีบิน เสื้อยืด ถุงผ้าขนาดเล็กใส่พันธุ์หญ้าแฝกเพื่อนำไปปลูกต่อไป ตัวอักษรที่ Screen ไว้อีกด้านของถุงผ้าจะเป็นข้อความเกี่ยวกับจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติดังนี้คือ “งานพิทักษ์ อนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหน้าที่ของมนุษย์ชาติทุกเผ่าพันธุ์ จำต้องพึงตระหนักและร่วมใจรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศน์ ให้ยั่งยืนสืบไป” กิจกรรมหน้างานยังมีซุ้มวาดภาพระบายสี พร้อมทั้งกระดาษให้แสดงความคิดเห็นด้วย

 

 

 

 

 

งานนี้ผมมีเพื่อนแฟนเพลงรุ่นพี่ตามไปสมทบด้วย แต่กว่าพี่เขาจะเดินทางมาถึงก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว ตามกำหนดการแล้วประตูจะเปิดตอนหกโมงครึ่ง โชคดีที่ประตูห้องประชุมยังไม่เปิด  คืนนั้นกว่าจะเริ่มให้เข้าประตูได้ก็ประมาณ เกือบ 2 ทุ่มแล้ว

 

 คุณศิริศักดิ์  ศรีพลอย ช่างภาพ BTS

 

 

เข้าไปไม่นานการแสดงก็เริ่มขึ้นด้วยบทเพลงแรกที่เป็นเพลงแรกของอัลบั้มชุดแรก (โลกมืด)  คือ เพลง “ต่างคน” เพลงนี้ แฟนเพลงร้องตามได้ทุกคน ช่วงนี้ผมมีข้อสังเกตว่าระบบเครื่องเสียงค่อนข้างอู้ๆ อยู่บ้าง จนเริ่มเพลงที่สอง “ดีใจหาย” จากอัลบั้มชุดที่สาม (อุบาทว์ อุบัติ) เสียงจึงเริ่มดีขึ้น ต่อด้วยเพลงที่สาม “สัญญาณเยือน” เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ชุดที่ห้า

 

 

 

 

ผ่านไปสามเพลง สมกับการรอคอยของแฟนเพลงจริงๆ ที่หวดกันไม่ยั้งด้วยเพลงเร็ว จากนั้นทางวงจึงได้ทักทายอย่างเป็นทางการกับแฟนเพลงจริงๆ แล้วเปลี่ยนบรรยากาศด้วยเสียง Acoustic Guitar ที่ Solo อย่างต่อเนื่อง เล่นมาถึงกลางเพลงถึงได้นึกออกว่าทำนองนี้มันทำนองของเพลง “ผ่านวัน” เพลงช้าจากอัลบั้มชุดแรก (โลกมืด) แฟนเพลงก็เริ่มกันร่วมร้องอย่างกระหึ่ม แต่พี่สมคิด ก็ตั้งใจร้องไม่ให้จบเพลง และมีการ Motivate ไปยังคอนเสิร์ตครั้งหน้าด้วย

 

 

จากนั้นบรรยากาศก็กลับเข้ามาสู่เพลงเร็วอีกครั้ง โดยเชื่อมโยงเพลงจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่ถูกเอาคืนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ ด้วยเพลง “มาถึงวันตอบโต้” จากเดียวกับอัลบั้มชุดที่ห้า (สัญญาณเยือน) จบเพลงแล้วก็พูดคุยกันต่อด้วยการถามว่าเคยเห็นพระอาทิตย์ตกดินมั้ย ซึ่งนั่นก็คือที่มาของเพลงบรรเลงอย่าง “WHEN THE SUN IS GOING DOWN” จบเพลงนี้แล้วพี่ใหญ่ สมบัติ  แก้วทิตย์ ก็ได้มีโอกาสทักทายพูดคุยกับแฟนเพลง ซึ่งครูสมบัติได้เล่าถึงการดำเนินการของศูนย์ภูสันฯ และอุปสรรคที่ผ่านมา มีน้ำป่าท่วมศูนย์ 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดปี 49 เป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุด น้ำท่วมถึง 5 เมตร และมีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน ศูนย์ได้รับความเสียหายทั้งหมด ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ต่อไปได้อีก (อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phusan.net/) จากนั้นบรรยากาศของคอนเสิร์ตได้ลดดีกรีความร้อนแรงลงเป็นเพลงบรรเลงช้าๆ ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับสายน้ำ ด้วยทำนอง Melody ที่ชวนให้ล่องลอยไปกับสายน้ำอันเยือกเย็น ผมเข้าใจว่าทำนองน่าจะเป็นเพลง “RETURN TO THE NATURE III” ของอัลบั้มชุดที่หก ที่ออกกับค่ายแกรมมี่ (ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย) ต่อจากนั้นก็ต่อด้วยเพลง “เพียงเริ่มทาง” จากอัลบั้มชุดที่หก (ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย) ในจังหวะเนิบๆ แต่หนักแน่นช่วงนี้ผมรู้สึกว่าแฟนเพลงหน้าเวทีค่อนข้างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้โยกหัวกับเพลงหนักๆ แต่เพลงต่อมาก็กลับมาสู่บรรยากาศคึกคักอีกครั้งด้วยเพลง “มิอาจเพียงชะลอ” และ “สัญญาณเตือน” จากอัลบั้มชุดที่ห้า (สัญญาณเยือน) ซึ่งทางวงได้แจ้งก่อนเล่นเพลง “สัญญาณเตือน”ว่าขอมองเพลงนี้ให้แฟนเพลงทุกคนและจะเล่นเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ต หลังจากเล่นจบก็ได้เข้าหลังเวทีไป

 

 

ผมคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องมีเพลงสุดท้ายจริงๆ แน่ๆ (Encore) ช่วงนี้แฟนเพลงยังเรียกชื่อวงอย่างกระหึ่มตลอดเวลา “ดอนผีบินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” จนกระทั่งสมาชิกของวงก็เริ่มปรากฏกายออกมาทีละคน และประกาศด้วยเพลงที่เป็นเพลงสุดท้ายจริงๆกับเพลง “สองฟากฝั่ง” เพลงชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้มชุดที่สอง หลังจากจบเพลงนี้แล้วสมาชิกก็ได้ขอบคุณแฟนเพลงและได้เป็นการจบการเล่นคอนเสิรต์อย่างเป็นทางการ แต่กิจกรรมของคอนเสิร์ตยังไม่จบ ทางผู้จัดได้ขอบคุณแฟนเพลงด้วยการสมนาคุณรางวัลต่างๆ จากมือโดยตรงของสมาชิกในวงพร้อมถ่ายภาพร่วมกัน ได้แก่ ผู้จองบัตรคอนเสิรต์เป็นรายแรก กลุ่มผู้ที่จองบัตรคอนเสิร์ตด้วยจำนวนมากที่สุด เป็นต้น

 

 

กับครูสมบัติ  แก้วทิตย์ พี่ใหญ่ของวง

 

คอนเสิรต์ครั้งนี้ใช้เวลาไปประมาณ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ทำให้รู้สึกไม่ค่อยจุใจ ผมเข้าใจว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่สำหรับอัลบั้มใหม่อย่างแน่นอน ข้อสังเกตสำหรับคอนเสิร์ตของผมครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าผมได้ความรู้สึกที่ดีกับการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ เพราะถึงแม้ว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยทำนองเพลงที่ดุดัน แฟนเพลงที่หลุดโลก แต่งตัว และท่าทางที่น่ากลัว แต่งานวันนั้น ไม่มีการกระทบกระทั่งกันแม้แต่น้อย ทุกคนรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียว รู้จักกันดี และที่สำคัญทุกคนได้ร่วมกันทำกุศลร่วมกันกับการนำรายได้ครั้งนี้ไปสมทบทุนในกิจกรรมเพื่อโลกสิ่งแวดล้อมของศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้า

 

ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก http://www.donpheebin.net/   http://www.donpheebin.com/ และ http://www.phusan.net/

ขอขอบคุณ คุณศิริศักดิ์  ศรีพลอย ช่างภาพ BTS เอื้อเฟื้อภาพถ่าย

 

หมายเลขบันทึก: 333765เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2010 10:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เสียดายมากครับที่ไม่ได้ไป อย่างว่าละครับ ตอนนี้เป็นพ่อลูกอ่อนไปไหนมาไหนไม่คล่องเหมือนก่อน จะแอบไปก็เกรงใจแม่บ้าน(แค่เปิดเพลงฟัง เธอยังบอกให้เอาไว้ฟังตอนอยู่คนเดียวเลย 555)... ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ ครูสมบัติ แก้วทิตย์ จากนิตยสารบันเทิงคดีของพี่ซัน นานมาแล้ว น่านับถือครับ เป็นนักอนุรักษ์คนนึงที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมาตลอด ต้องขอปรบมือให้กับชาว Metal อีกครั้งที่มีคอนเสิร์ตดีๆ วัตถุประสงค์ดีๆ ครับ

...เมื่อกระเดื่องคู่ กู้โลก...

 

ขอบคุณ คุณฝนแสนห่า  P  ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนกันครับ วันนั้นโชคดีตรงที่ผมต้องไปทำงาน จึงบอกที่บ้าน (ลูก/เมีย) ว่าจะเลิกค่ำนะ ก็เลยยาวต่อได้ครับ ดีใจครับที่มีคนชอบแนว METAL ใน GTK เหมือนกัน

ขอบคุณ คุณ P มนัญญา ~ natachoei ( หน้าตาเฉย) ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนกันครับ วงดอนผีบินนี้ เป็นความภูมิใจของคนภาคเหนือที่แบบอย่างที่ดีสำหรับวัยรุ่นที่ชอบแนวดนตรี METAL ครับ เพราะเนื้อเพลงที่แต่งและการดำเนินชีวิตเป็นปรัชญามากๆ ครับ

ไม่น่าเชื่อ ทุ่มงบประมาณกว่า 40 ล้านบาท จัดงานเทศกาลดนตรีนานาชาติ ประจำปี 2553 "พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล มิวสิก เฟสติวัล 2010" ณ ชายหาดเมืองพัทยา ระหว่างวันที่ 19 - 21 มีนาคม 2553

งานวันนั้นมันส์มาก..เพื่อนผ้องกลมเกลียวสายสัมพันธ์...รอคอนเสิร์ตครั้งต่อไปครับ \m/

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท