อ.หมอประเวศ วะสี ได้เสนอไว้อย่างน่าสนใจว่า" มหาวิทยาลัยมักเอาวิชาเป็นตัวตั้ง สนใจแต่เรื่องเทคนิค " เช่นคณะนิติศาสตร์ ก็สนใจแต่เรื่องเทคนิคว่าข้อกฎหมายตรงนี้ว่าอย่างไร ให้จำให้ปฏิบัติแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้สนใจว่ากฎหมายเหล่านั้นมันเป็นไปเพื่อความยุติธรรม เพื่อทำให้สังคมสงบสุข การตีความโดยนักกฎหมาย ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา ก็ตีความโดยอาศัยข้อกฏหมายในเชิงเทคนิคมากกว่า หลายสถาบันมีคณะนี้เพื่อครอบงำนักศึกษา ให้คิดอยู่ในกรอบเทคนิคของกฎหมาย ตัวบท ห้ามสนใจอย่างอื่น นักศึกษาคณะนี้หลายแห่งกลายเป็นหุ่นยนต์ สมันผมศึกษาอยู่ ผมจำได้ว่า รุ่นพี่ผมรับเพื่อนใหม่ ด้วยการขึ้นคัดเอาท์ตัวใหญ่ที่ตึกคณะนิติศาสตร์ว่า "ชนชั้นใดเขียนกฎหมายเพื่อรับใช้ชนชั้นนั้น ทำให้ประชาชนกลายเป็นหมา กฏหมายที่หมายกดกดขี่ขูดอยู่ตาปี จักกลายเป็นคัมภีร์แห่งปีศาจอำนาจร้าย ประชาชนคือคต้นบทข้อกำหนดแห่งกฎหมาย ประชาชนไม่เคยตาย แต่กฎหมายตายทุกมาตรา "นี่เป็นรูปธรรมหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายที่เลวๆมีมาก นักการนกฎหมาย ทั้งบัณฑิต ทั้งเนฯ ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ สภาทนายความ นักสิทธิมนุษยชน(ดูจะทำงานหนักกว่าเพื่อน) ไม่รู้ทำอะไรอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยทำตัวอยู่นอกสังคม ไม่ตอบสนองปัญหาสังคม แม้แต่ตอบสนองความต้องการของสังคมเฉพาะด้านเฉพาะเรื่องก็ไม่ทำแล้ว คือไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น คนที่จบมหาวิทยาลัยไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องไปฝึกกันใหม่ในสถาบัน ในโรงงาน หรือองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัยจึงไม่สามารถตอบสนองความเป็นจริงของยุคสมัยได้เลย ในฐานะที่ทำงานยNGOมากว่า 18 ปีพบว่าประเด็นการดูแลสุขภาพทางเลือก เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ ข้าวพื้นบ้าน พลังงานทางเลือก โลกร้อน ปัญหาหนี้สินของประชาชนและเกษตรกร การสร้างและการจัดสวัสดิอการชุมชน เกษตรทางเลือก การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดการที่อยู่อาศัยภาคเมืองและชนบท ปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง เด็กไร้สัญชาติ ปัญหามลพิษ การศึกษาเพื่อการค้าพานิชย์ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและ มหาวิทยาลัย สัญญาการค้าปลอดภาษีระหว่างประเทศ (ภาคเกษตร,อุตสาหกรรม) การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน /ประชาสังคม การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชนสิทธิท้องถิ่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เหล่านี้ทั้งหมด มหาวิทยาลัยทำอะไรได้บ้าง (มีต่อ)
โยมบุนนาค
เป็นอีกหนึ่งมุมคิดที่คนการศึกษาจะต้องทบทวนครับ
เป็นกำลังใจให้ครับอาจารย์
เรียนรู้จักตัวเองเสียบ้างตั้งแต่เนินๆ เวลาถอดหัวโขนจะได้เดินขนขาที่ตัวเองที่ไม่มีมือเท้าลูกน้องคอยติดตามรับใช้จนเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา(VIP) หมดอำนาจวาสนาพาเอาเฉาไปเลยเพราะทำอะไรไม่เป็น
ไปเที่ยวฟรีๆ ดีกว่า
อัสลามมุอลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮบาวาเราะห์กาตุ น้องฟูอ๊าด ที่ติดตามข้อคิดข้อแลกเปลี่ยนของพี่มาโดยตลอด พี่อยากรู้จักในฐานะที่เป็นมุสลิมด้วยกันมาก เพราะเจอมุสลิมที่ขอนแก่นแล้วปวดร้าวมากที่สุดในงานของอัลลอฮ(ซ.บ) หากมาขอนแก่นแวะมาพักที่ มข.คงได้เลกเปลี่ยนบทเรียนประสบการณ์กันแยะ โทร 089 4229747
ขอนมัสการ พระคุณเจ้า ความคิดเห็นที่ 1 ที่อนุโมทนามากับข้อคิดเห็นที่ผมแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาครับ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าข้อคิดเช่นนี้ พระอาจารย์รูสึกอย่างไร หากมันเป็นเรื่องที่พระคุณเจ้านำไปใช้ในการดูแลหลักสูตร จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยได้ ผมจะดีใจมากๆครับ
สำหรับข้อคิดที่ 3 ขอบคุณมากครับ และแวะมาแลกเปลี่ยนกับข้อเขียนเหล่านี้อีกนะครับ