คำว่า “ไม้กลายเป็นหิน” นี้ เป็นคำที่ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยเด็กๆชั้นประถมปีที ๑ ที่กำลังตัดสินใจว่าจะเอาดีทางเรียนหนังสือ หรือว่าไปเป็นคาวบอยนักเลี้ยงวัว อันไหนดีกว่ากัน
จึงต้องไปลองฝึกหัดเลี้ยงวัวกับพ่อ ในป่าโคกทางทิศเหนือของหมู่บ้านที่ผมเกิด ที่บ้านขอนไทร ตำบลโค้งยาง อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
ในขณะเดินตามร่องน้ำ จะพบหินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ “ไม้” โดยเฉพาะส่วนที่เป็นลายและเส้นเนื้อไม้ แต่มีความแข็งเหมือนหิน
พ่อผมบอกว่า นั่นคือ "ไม้กลายเป็นหิน"
ผมเลยชอบเก็บมาเล่นเป็นประจำ เพราะดูแปลกดี
เมื่อผมมาเรียนวิชาธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์ที่สอนก็บอกเป็นภาษาอังกฤษให้เรียกหินชนิดนี้ว่า Petrified wood
เมื่อไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ที่ไหน ก็จะพบคำนี้เสมอๆ ทั้งภาษาไทย และอังกฤษควบคู่กัน
แต่เมื่อผมมาพิจารณาเนื้อหาสาระของหินชนิดนี้ดูแล้ว ผมกลับคิดว่าการใช้คำนี้เรียกหินชนิดนี้ โดยเฉพาะในภาษาไทยนั้น น่าจะไม่ตรงกับความจริงของกระบวนการเกิดของมันครับ
เพราะกระบวนการเกิดนั้นกลับกัน
โดยส่วนประกอบของหินชนิดนี้ไม่น่าจะมีความเป็นไม้เหลืออยู่มากนัก มีความเป็นหินมากกว่า ที่น่าจะเรียกว่า หินกลายเป็นไม้
ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจาก
จึงน่าจะเรียกว่า “หินกลายเป็นไม้”
แล้วคำว่า “ไม้กลายเป็นหิน” น่าจะนำไปเรียกอะไร
ก็ ถ่านหิน ไงครับ
ก้อนถ่านหินที่ไม่เหลือสภาพของความเป็น "ไม้" หรือ "พืช"
แต่เราไม่สามารถนำ Petrified wood (หรือ ไม้ที่กลายเป็นหิน) มาเผาให้ได้พลังงานได้ เพราะมวลสารของมันเป็น “หิน” จึงควรเรียกว่า “หินกลายเป็นไม้” จึงจะตรงกับความเป็นจริง
และเรียกถ่านหินชนิดต่างๆว่า “ไม้กลายเป็นหิน” แทน
ด้วยความจริงที่ว่า แท่งหินเหล่านั้น
ลักษณะดังกล่าวยังพบในฟอสซิลกระดูกหรือซากสัตว์โบราณ เช่นเดียวกัน
คือ มีการแทรกซึมของซิลิกา หรือแร่หินชนิดอื่นๆ เช่นหินปูนเข้ามาในโครงสร้างเดิมของพืชและสัตว์ จนทำให้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับโครงสร้างเดิมของสัตว์เหล่านั้น
ที่ขนานนามว่า ฟอสซิล หรือ ซากสัตว์โบราณ
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว
ที่ควรเรียกตามกระบวนการเกิดว่า “หินกลายเป็นกระดูก” แทนคำว่า “กระดูกกลายเป็นหิน”
ถึงขั้นนี้ ผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ที่ดิดดังๆมานี้ มิได้มีความประสงค์จะเปลี่ยนคำเรียกที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลาย แต่อย่างใด
เพียงแต่อยากจะเห็นการจัดการความรู้ ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในกระบวนการธรรมชาติเท่านั้น เพื่อจะได้นำมาอธิบายและปรับใช้ในชีวิตสมัยใหม่ได้
โดยเฉพาะถ่านหิน และ ไม้ที่กลายเป็นหินนั้น มีหลักการเกิดที่น่าสนใจมาก
คือ ไม้อะไรก็ได้ เนื้อแข็งก็ได้ เนื้ออ่อนก็ได้ ใบไม้ก็ได้ เมื่อมีการอัดแน่นแล้ว จะให้พลังงานสูงใกล้เคียงกัน
และยิ่งอัดแน่นมากจากพีท (Peat) จนกระทั่งเกิดเป็น แอนทราไซท์ ( Anthracite) นั้น จะให้พลังงานสูงที่สุด ที่ไม่ต้องไปคำนึงว่าเกิดจากไม้ หรือวัสดุอินทรีย์ชนิดใด
ทำให้เกิดความคิดในการทำ “ถ่านอัดแท่ง”
ภาพถ่านอัดแท่งที่ผลิตจากผงถ่าน
ที่สามารถลบล้างความคิดเดิมที่ว่า “คุณภาพถ่านขึ้นอยู่กับชนิดของไม้” ที่มาจากประสบการณ์ที่ว่า ไม้เนื้อแข็ง ให้ถ่านที่ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน
แต่ถ้าเราทำให้ถ่านมีเนื้อแน่นเท่าๆกันโดยการอัดแล้ว พลังงานต่อปริมาตรของถ่านน่าจะใกล้เคียงกัน
เพราะโดยหลักการก็คือ พลังงานที่ได้มาจากจำนวนโมเลกุลคาร์บอนที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
ถ้าเราสามารถทำให้แน่นจนมีจำนวนคาร์บอนใกล้เคียงกัน พลังงานที่ได้ก็น่าจะใกล้เคียงกัน แบบว่า "คุณภาพถ่านขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของถ่าน"
เราจึงไม่ต้องไปรอหรือไปหาไม้เนื้อแข็งในป่า หรือที่โตช้ามาทำเป็นถ่านอีกต่อไป
ในหลักการนี้ เราสามารถผลิตถ่านที่มีคุณภาพสูงจากวัสดุอินทรีย์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้เนื้ออ่อน เศษไม้ ใบไม้ ที่มีความหนาแน่นของคาร์บอนน้อย หรือ ไม้เนื้อแข็งที่มีความหนาแน่นของคาร์บอนมาก
ที่ในกลุ่มเกษตรกรเรียกการผลิตถ่านแบบนี้ว่า “การผลิตถ่านพิทักษ์โลก” ที่รวมความถึงการนำน้ำส้มควันไม้มาใช้ทดแทนสารเคมี สารพิษกำจัดศัตรูพืช
นี่คืออีกบทเรียนหนึ่งของการนำกระบวนการธรรมชาติมาปรับใช้ในชีวิตสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี
น่าคิดนะครับ
เมื่อทราบถึงกระบวนการเกิดของถ่านหินและฟอสซิลแล้ว
ท่านคิดว่า อะไรคือ “ไม้กลายเป็นหิน” หรือ อะไรคือ “หินกลายเป็นไม้” ครับ
ใครตอบได้ ไปรับรางวัลที่กรมทรัพยากรธรณี ครับ อิอิ
ไม่มีความเห็น