ถึงแม้ว่าช่วงนี้ ดูเหมือนลมหนาวจะกำลังโบกมือลาไปทุกขณะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางพื้นที่ ยังคงก่อกองไฟไล่ลมหนาวอยู่อย่างไม่จากจาง ขณะที่บางพื้นที่กลับออกอาการเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เอาแน่
เอานอนไม่ได้
สำหรับผมและทีมงาน ยังคงเดินหน้าทำโครงการ “ต้านลมหนาวถามข่าวคราวชาวบ้าน”
กันอย่างไม่ละมือ กิจกรรมนี้จัดขึ้นโดยเป็นความร่วมมือระหว่างกองกิจการนิสิต กับนิสิตกลุ่มโครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม โดยมีบ้านเหล่าหลวง หมู่ที่ 8 และบ้านเหล่าหลวงกลาง หมู่ที่ 12 ต.ภูดิน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เป็นพื้นที่เป้าหมาย
กิจกรรมประมูลสิ่งของในองค์กร-อีกหนึ่งกระบวนการสร้างวัฒนธรรมทางใจในองค์กร
จะว่าไปแล้ว หมู่บ้านดังกล่าว คงไม่ถือเป็นพื้นที่เข้าขั้นประสบภัยหนาวเหมือนหมู่บ้านอื่นๆ
ถึงกระนั้น ผมก็ยังอยากจะยืนยันอีกครั้งว่า “ได้ชื่อว่าลมหนาว ยังไง-ก็ยังต้องหนาวเหน็บเหมือนกันทุกโค้งคุ้ง ขึ้นอยู่กับว่าที่ไหน-จะหนาวทน.. หนาวนาน ... และที่ใด-ผู้คนจะขัดสนมากกว่ากันเท่านั้นเอง”
และอีกเหตุผลที่เราตัดสินใจมายังที่นี่ ก็คงไม่ใช่เพราะเหตุผลของภัยหนาวล้วนๆ หรอกนะครับ หากแต่เป็นเพราะว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา หมู่บ้านดังกล่าวเคยเป็นชุมชนที่นิสิตกลุ่มนี้เคยได้มาฝากตัวเป็น “ลูกฮัก” เพื่อทำการศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาชาวบ้าน
มาแล้วนั่นเอง
ดังนั้น เราจึงกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อทำการสรุปผลการเรียนรู้และมอบสื่อการเรียนรู้ทั้งหมด
แก่ชุมชน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผมต้องการให้กิจกรรมที่ว่านี้ เป็นเสมือนการนำพาให้เหล่าบรรดา “ลูกฮัก” ทั้งหลายได้กลับไป “เยี่ยมยามถามข่าวพ่อฮักและแม่ฮัก” ของตัวเองอีกครั้ง
บรรดาลูกฮักออกโรงประชาสัมพันธ์และขอรับบริจาคด้วยตัวเอง
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ไม่ว่าค่ายใดก็ตามเถอะ ผมก็มักย้ำแนวคิดเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างชาวค่ายกับชาวบ้านกับนิสิตอย่างจริงจังเสมอ เป็นต้นว่า ผมไม่อยากให้นิสิตไปทำค่ายแค่ครั้งเดียวก็เร้นหายไปจากชาวบ้าน ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจัดกิจกรรม
กลับไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านบ้าง หรือไม่ก็ขอให้คิดที่จะติดต่อสื่อสารกับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง...
มีงานบุญงานทาน หากมีเวลา ก็อาจปลีกตัวไปช่วยงานพ่อฮักแม่ฮักบ้างก็เป็นได้
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผมหมายถึงว่า หากเป็นไปได้ ก็ควรจัดกิจกรรมต่อเนื่องร่วมกับชุมชนบ้าง
เพื่อการกระตุ้น หรือสร้างกระบวนการให้ชุมชนได้บริหารจัดการตัวเองอย่างมีระบบ อันเป็นกลไกพื้นฐานที่จะนำพาชุมชนไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน มิใช่ทำครั้งเดียวแล้วก็เร้นกายหายไปในกลีบเมฆ เพราะเรื่องบางเรื่อง เราต้องยอมรับว่า...ชาวบ้านก็ยังต้องการแรงหนุนส่งอยู่อีกสักระยะ
อีกมุมหนึ่งของการร่วมลงแรงกับนิสิต
ด้วยเหตุนี้ ผมถึงต้องพยายามให้นิสิตลงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอย่างน้อยสองถึงสามครั้งเสมอ รวมถึงการพยายามทุ่มเททำให้เป็นรูปธรรมมากที่สุดเท่าที่ศักยภาพของเราจะพึงกระทำได้ พร้อมๆ กับการชวนเชิญ และสร้างแรงกระตุ้นให้ชุมชนได้ตระหนักในตัวตนและคุณค่าของตัวเอง เพื่อจะได้ลุกขึ้นมาทำอะไรๆ ด้วยตัวเองอย่างแข็งขัน-ภาคภูมิ
ในทำนองเดียวกันนั้น เกี่ยวกับความรักและความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน ก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อยู่มาก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นภาพสะท้อนสายใยความผูกพันของหัวใจจากคนที่ไม่ใช่ญาติ แต่เหมือนญาติที่ขาดไม่ได้อย่างน่าทึ่ง
ครับ,ไม่ใช่ลูก ก็เหมือนลูก ไม่ใช่พ่อ ก็เหมือนพ่อ ไม่ใช่แม่ ก็เหมือนแม่...ต่างคน
ต่างเติมเต็มกันและกัน บางครั้ง หรือแม้แต่บางที นิสิตที่กำพร้า ก็มาได้พ่อฮักเยียวยาหัวใจ ชาวบ้านที่ไม่มีลูก หรือลูกไปทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ก็พลอยได้นิสิตนี่แหละมาเป็นลูกอีกคนให้คลายเหงา-มีแรงใจในการใช้ชีวิต บางคนถึงขั้นยังเคยบอกกับผมในทำนองว่า “ลูกฮักที่เป็นนิสิต...โทรมาหาบ่อยกว่าลูกจริงๆ เลยก็มี” ...
สวมบทบาทนักแสดงบนเวทีร่วมกับนิสิต
แต่อย่างไรก็ดี การกลับไปยังชุมชนในแต่ละครั้ง ผมก็มักกระตุ้นให้นิสิตกลับไปแบบมี
ของติดไม้ติดมือไปฝากพ่อฮักแม่ฮักด้วยเสมอ ไม่ใช่สัญจรไปมือเปล่าๆ หรือไม่ก็ควรต้อง
ไม่สะพายกระเป๋าใบใหญ่ไปเปล่าๆ เพราะในตอนกลับ ไม่ว่าที่ไหนก็เถอะ ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านแล้งน้ำใจเลยสักที่ มีอะไรๆ ก็ขนมาฝากจนล้นกระเป๋าของนิสิตทุกครั้งก็ว่าได้ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และนั่นก็คือกระบวนการของการเรียนรู้วิถีอันเป็น “วัฒนธรรมทางใจ” ที่ผมพยายามสื่อสารไปยังนิสิต
แน่นอนครับ การสื่อสารของผม ก็มิได้หมายถึงพูด.. และพูดปาวๆ ร่ำไป และไม่ได้ปล่อยปละ
ให้นิสิตที่ฟังแนวคิดของผมนั้นต้องลงทุนลงแรงอยู่อย่างเดียวดายเสมอไป แต่ทั้งผมและทีมงาน ก็ล้วนแล้วแต่ได้เทใจไปลงแรงกับนิสิตอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการร่วมคิดร่วมทำในกิจกรรม
เหล่านั้น ราวกับทั้งผมและทีมงาน “เป็นลูกฮัก” ของชาวบ้านเสียเอง
ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของผม จึงมักกระโจนลงไปร่วมกระบวนการกับนิสิตอยู่เสมอ มีการร่วมด้วย
ช่วยกันกับนิสิตอย่างต่อเนื่อง เป็นต้นว่า สนับสนุนกระบวนการต่างๆ ของนิสิต อาทิ การช่วยประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ช่วยสร้างบรรยากาศในขอรับบริจาคทั้งในหมู่นิสิตและคณาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้บุคลากรในองค์กรของเราเองได้มีส่วนในการเติมเต็มแรงคิดของนิสิต ทั้งการบริจาคสิ่งของ บริจาคทุนทรัพย์ หรือแม้แต่การนำเอาสิ่งของที่ได้รับบริจาคมาจากคนกันเอง เพื่อจัดประมูลในองค์กร เสร็จแล้วก็นำเงินที่ได้ไปสมทบเป็นกองทุนจัดกิจกรรม “ต้านลมหนาว” เรียกได้ว่า เป็นการรณรงค์เรื่อง ”วัฒนธรรมทางใจในองค์กร” ที่มีต่อเรื่อง “จิตอาสา” หรือการสร้างเสริมให้บุคลากรเป็น “ต้นแบบ” ของ “จิตอาสา” แก่นิสิตไปในตัว ...
นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งตามแนวคิดของผม ดังว่า “พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน”
ถอดหัวโขนการเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อร้องลำกับนิสิต
ครับ, ก็เป็นธรรมดามิใช่หรือ หากเราพบเจอว่าใครสักคนกำลังทำในเรื่องอันดีงาม
เราก็ควรไม่ทำตัว “ดูดาย-ธุระไม่ใช่” และในสิ่งที่เราสอน หรือแม้แต่ชักชวนให้นิสิตมีแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำ เราก็ยิ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะละเลยปล่อยให้เขาดุ่มเดินไปในวิถีนั้นอย่างลำพัง –
เฉกเช่นเดียวกัน การ “พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน” ของผมและทีมงาน ก็คงมิได้หมายถึงการหยัดเยียด หรือแม้แต่สรรหา หรือเสกสร้างอะไรๆ ให้นิสิตเสียทั้งหมด จนดูราวกับว่า นิสิตไม่ได้ลงแรงใดๆ คล้ายกับนั่งรอปอกกล้วยเข้าปากเสียเฉยๆ เสียเมื่อไหร่ ตรงกันข้าม ทั้งผมและทีมงาน กลับหนุนส่งให้พวกเขาได้ลงมือที่จะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเองด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น การกลับไปเยือนเพื่อถามข่าวคราว “พ่อฮักแม่ฮัก” ของนิสิตตามโครงการ “ต้านลมหนาวถามข่าวคราวชาวบ้าน” ในครั้งนี้ จึงถือได้ว่า เป็นความร่วมมือกันของนิสิตกับทีมของมหาวิทยาลัย ภายใต้แนวคิด “พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน” โดยแท้
ภาพความเป็นกันเองของเจ้าหน้าที่กับนิสิต
สิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงสะท้อนภาพความผูกพันของนิสิตกับชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความสัมพันธ์อันเป็นหนึ่งเดียวของนิสิตกับบุคลากรด้วยเหมือนกัน ...
แน่นอนครับ ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ว่าผมและทีมงาน หรือแม้แต่นิสิตและชาวบ้าน ต่างก็ปรารถนาที่จะนั่งอยู่ในหัวใจของกันและกัน และวิธีการที่ว่านี้ ผมก็เชื่อว่ามันคือเครื่องมือและเส้นทางที่จะนำพาให้ทุกคนไปอยู่ ณ พื้นที่ทางใจของกันและกันอย่างไม่ยากเย็น
ผมเชื่อเช่นนั้น และเชื่อมานานแล้ว...
10 ม.ค.53
บ้านเหล่าหลวง,กาฬสินธุ์
เห็นด้วยคะ ความรักความผูกพันคือน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ
และความสามัคคีของกลุ่มคะอาจารย์
พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน
ความหมายตรงตัวและครอบคลุม
เห็นบรรยากาศแล้ว เริ่มเข้าใจวิธีการสร้างจิตอาสามากขึ้น
มาใกล้แค่นี้...คราวหน้าบอกข่าวพี่บ้างนะคะ
ชื่นชมและขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
สวัสดีวันครูค่ะ
สวัสดีวันครูค่ะ
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ
สวัสดีครับ คุณปีตานามาจิตต์
เราต่างทำงานบนพื้นฐานของการเป็นทีม และพยายามเป็นกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนของนิสิตอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นิสิตรู้สึกว่า พวกเขา ไม่ได้เดินไปอย่างเดียวดายในวิถีนั้น
เมื่อชวนพวกเขาคิด..เราก็ต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชะตากรรมนั้นๆ...นั่นคือวิธีคิดของผม..
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่ครูอรวรรณ
กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมต่อเนื่องในสองพื้นที่ครับ...พื้นที่แรกคือ บ้านเหล่าหลวง ของผมเอง กลุ่มนี้เน้นนิสิตโครงการส่งเสริมเยาวชนดีดเนด้านศิลปวัฒนธรรม นอกจากการเรียนรู้ในหมู่บ้านแล้ว ยังเพื่อผูกโยงให้นิสิต ได้เรียนรู้วิถีคนเขื่อน-วัด-พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ส่วนอีกพื้นที่หนึ่ง เป็นบ้านหนองบัวแปะ อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม พื้นที่ตรงนี้เน้นกลุ่มนิสิตทั่วไปและผู้นำนิสิต ชุมชนนี้ เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และวันนี้ก็ลงไปสรุปงานในพื้นที่...
ไว้คราวหน้า จะแจ้งล่วงหน้า นะครับ จะได้สัญจรมาร่วมกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ namsha
เช่นกันนะครับ-ขอให้มีพลังใจ สุขสมหวังทั้งในโลกแห่งชีวิตและการงาน
ผมเป็นกำลังใจให้ นะครับ
สวัสดีครับ พี่ครูคิม
วันครูปีนี้ ขอให้พบเจอแต่เรื่องอันดีงาม และมีพลังกับการสร้างสรรค์,ปั้นแต่งลูกศิษย์ต่อไปนะครับ
ผมเป็นกำลังใจให้-
สวัสดีค่ะคุณครู
ขอชื่นชมการทำกิจกรรมที่ทำอย่างต่อเนื่อง และทำด้วยวิธี “พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน”
สวัสดีคุณครูอย่างนอบน้อม
ลูกศิษย์ก้มประนมกรวอนไหว้
พระคุณครูยิ่งใหญ่มหันต์นาม
ทั่วเขตคามระลึกถึงพระคุณครู
ครูอ้อยเล็ก
สวัสดีครับ คุณบุษรา
วันครูปีนี้..
พานิสิตไปจัดต้านลมหนาวถามข่าวคราวชาวบ้านที่ บ้านหนองบัวแปะ...อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม
เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เกี่ยวโยงไปถึงเด็กนักเรียน วันนี้-เราไปสอนอ่าน สอนเขียนอักษรธรรมในใบลาน รวมถึงการจัดเก็บและทำความสะอาดใบลานอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม นะครับ
สวัสดีครับ พี่ใบบุญ
สวัสดีครับ คุณอ้อยเล็ก
ขอบคุณที่แวะมาทักทายด้วยกลอนสวยๆ ..ไพเราะๆ...
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ขอให้เต็มไปด้วยพลังแห่งการใช้ชีวิต นะครับ
สวัสดีครับ พี่add
เมื่อสักครู่ไปเยี่ยมที่บันทึก ภาพการเดินทางบนแผ่นดินไทยงดงามและสวยงามมาก และก็ช่วยย้ำให้เราตระหนักว่า เมืองไทย, ประเทศไทย น่าอยู่เสมอ...
ขอบคุณครับ
แก่งเลิงจานบ้านเราสวยใช่เล่นเหมือนกันนะคะ
ครับ พี่add
นี่เป็นภาพเถียงนาและทุ่งนาในแถวๆ ใกล้ๆ จะเข้าเขต อ.วาปีปทุม..นี่เอง ครับ ช่วงนั้นก็น่าจะเวลาประมาณ 4 โมงเย็นได้กระมัง
สวัสดีปีใหม่และสุขสันต์วันครูค่ะ
“พูดให้ฟัง...ทำให้ดู...อยู่เป็นเพื่อน” โดยแท้
ชอบจังเลยวิธีคิดของอาจารย์ และแอบอิจฉานิสิตที่มีพี่เลี้ยงที่มีแนวคิดดีๆ ใช่เลยค่ะถ้าเราให้แนวคิดการเป็นจิตอาสา คือเครื่องมือและเส้นทางที่จะนำพาให้ทุกคนไปอยู่ ณ พื้นที่ทางใจของกันและกันอย่างไม่ยากเย็น
ท่านมาเฮาดีใจ ท่านจากไปเฮาคึดฮอด
หากได้นั่งอยู่ในหัวใจของกันและกันแล้ว
คึดจะเฮ็ดอีหยังก็ซำบายโลดใช่บ่ เด้อค่าเลย ;)
รำลึกวันครู คุณแผ่นดิน ครูติดดิน ด้วยจิตคารวะค่ะ
สวัสดีวันครูนะคะ
สวัสดีครับ คุณท้องฟ้า
เกี่ยวกับการทำงานนั้น ผมมองว่า นิสิตยุคนี้ก็เถอะ เรื่องบางเรื่องปล่อยให้เขาคิดเอง ก็คงยากยิ่ง หรืออย่างน้อยก็ใช้เวลาเนิ่นนานไม่ใช่ย่อย และกว่าจะถึงจุดนั้น อะไรๆ ก็คงลำบากที่จะลงมือทำอยู่เหมือนกัน ดังนั้นบางเรื่องผมจึงใช้วิธีร่วมคิด-ชวนคิด-ชวนทำ-แล้วปล่อยให้ทำ โดยเราถอยมาดูอยู่ใกล้ๆ
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นว่าเรามาถูกทางก็คือ สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับนิสิตนั้นดูแนบแน่นเป็นกันเองมากเลยก็ว่าได้ กลายเป็นสมือนพี่พ้องน้องเพื่อนไปโดยปริยายแล้วก็ว่าได้
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณปิ่นธิดา
ท่านมาเฮาดีใจ ท่านจากไปเฮาคึดฮอด
..
เห็นด้วยกับวาทกรรมข้างต้นครับ สะท้อนความผูกพันระหว่างผู้มาเยือนกับเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวิถีที่เกิดกับชาวค่ายอันเกี่ยวโยงกับลูกฮักและพ่อฮัก-แม่ฮัก
ไปมาหลายที,บางบ้าน เขียนป้าย ท่านมาเฮาดีใจ ท่านจากไปเฮาคึดฮอด ไว้เป็นถาวรเลยก็มีเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณปูpoo
คึดจะเฮ็ดอีหยังก็ซำบายโลด
ชอบมากครับ ขอสรุปด้วยประเด็นนี้อีกรอบก็แล้วกัน
มักคักๆ...