ยิ่งแก่ยิ่งรู้สึก


ความรู้สึกหนึ่ง ยามคิดถึงผู้คนแวดล้อมในชีวิตที่ต่างเดินทางจากไป คิดถึงชีวิต คิดถึงความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วย และ ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ทั้งเราทั้งเพื่อน ทั้งคนรักและทั้งคนที่ไม่รัก กับ สิ่งที่นั่งคิดถึงความจริงในชีวิตบางประการ เมื่อคิดว่า ตนเองได้เดินผ่านวันวัยของชีวิต

ยิ่งแก่ยิ่งรู้สึก

 

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

รู้สึกครับ

สำหรับความรู้สึกแรก

ในรอบหลายปีที่ผ่านมาของชีวิต

 

ยิ่งผ่านเรื่องราวเลวร้ายมากมายเท่าใด ผมยิ่งรู้สึกเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันวัยของชีวิต ผ่านไปมากวันมากเดือนมากปีเข้า ผมยิ่งรู้สึก และมีคำถามกับความรู้สึกเหล่านี้ ทั้งที่ปรากฎขึ้นในใจเสมอ ไม่ใช่เพียงความรู้สึกทางกายภาพ แต่เป็นความรู้สึกที่ปรากฎแวดล้อมชีวิต

ยิ่งเห็นผู้คนรอบข้าง ในวันวัยที่ผ่านไป

ผมยิ่งคิดถึงความเบาบางของชีวิต

คิดถึงความเปราะบางที่เกิดขึ้น

 

เช่น คิดถึงอุบัติเหตุของคนใกล้ชิด แค่เพียงลื่นล้มในห้องน้ำ คิดถึงคนรู้จักที่แค่เอามือไปเท้าแขน แต่กลับเส้นเอ็นข้อมือพลิก เพราะวางมือผิดจังหวะ คิดถึงการเดินอยู่ในบ้านตัวเอง แต่ถูกขอบกระเบื้องที่เคยเดินผ่านทุกวัน บาดนิ้วเท้า และคิดถึงเรื่องราวอีกมากมาย ที่เป็นเรื่องจริงของชีวิต แต่สร้างคำถามให้กับความเปลี่ยนแปลงอันมากมายในใจ

ไม่ใช่เป็นความรู้สึก

ในความห่วงหวงหรือเหนี่ยวรั้ง

ที่คิดเพียงว่า ชีวิตนี้ไม่อยากแก่เฒ่า

 

แต่เป็นความตระหนักในความจริง ว่าวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมาถึง มาเยี่ยมเยือน มาทักทาย และมามอบบทเรียนครั้งสำคัญ ในความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต ถึงคิดจะวิ่งหนีเพียงใดก็ไม่พ้น แต่ทำได้เพียงมองเห็น เข้าใจ และตระหนักว่า เมื่อวันเวลาเหล่านั้นมาถึง เราจะปฏิบัติตัวเช่นไร

ผมคิดถึงบทเรียนชีวิต

ที่ต้องปฏิบัติและ

ต้องเรียนรู้

 

ผมคิดถึง วันเวลาในยามแก่เฒ่า ว่าทำอย่างไรในยามเจ็บป่วย ยามเห็นพ่อแม่แก่ตัวลง เห็นความไม่พร้อมของสิ่งต่างๆรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นบ้านช่อง บานประตู ลูกบิดประตู ราวจับ และสิ่งต่างๆรอบตัวอีกมากมายในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นพื้นทางเดิน รอยต่อของกระเบื้อง หยูกยา อาหารการกิน รองเท้า เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งการประกันสุขภาพของผู้สูงวัย

ความจริงที่ผมถาม

เกิดขึ้นกับคนรอบตัวที่ผมรัก

เกิดขึ้นกับเรื่องราวอันเปราะบาง

 

ที่วันหนึ่ง ทุกชีวิตย่อมเสื่อมถอยและอ่อนแอ เกิดขึ้นในแต่ละความจริงของชีวิต ที่ต่างต้องเดินทางมา ดำรงอยู่ และเดินทางจากไป ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันสักเท่าไรนัก บางคนอาจอยู่ได้นานหน่อย บางครั้งอาจอยู่เร็ว มาเร็วไปเร็ว แต่สุดท้ายทุกคนก็ต่างต้องเรียนรู้บทเรียน แห่งการจากไป

ผมถามตัวเอง ถึงวันหนึ่งที่ร่างกายถดถอย

ถามถึงวันที่เดินเหินไม่ค่อยคล่อง

วันที่หูตาฝ้าฝางขุ่นมัว

 

มองอะไรก็ไม่ชัดเจน หยิบจับอะไรก็ไม่ถนัด เดินก็ไม่รวดเร็วดั่งใจคิด หรือ แม้แต่จะพูดจะจา จะอธิบายสิ่งใด ก็ต้องพูดวนสองคำสามคำ พูดซ้ำสองประโยคสามประโยค เพียงเพื่อให้รู้ว่าจะเอาอะไร ไม่เอาอะไร ทุกสิ่งอย่าง คือ คำถามในชีวิตของผม ถึงความแก่เฒ่า หรือ ทำอย่างไรที่จะตระหนักในความแก่เฒ่า และดำรงอยู่ในความเสื่อมถอยเหล่านั้นได้อย่างเข้าใจ

 

ไม่ใช่เพราะคิด

ว่าวันนี้ตัวเองแก่ลงเท่าใด

แต่เพราะวันนี้ ผมเห็นบางสิ่งที่เข้มแข็ง

 

ในวันที่ร่างกายยังแข็งแรง ผมกลับคิดถึงความอ่อนแอของชีวิต เพราะในหลายครั้งที่หลงลืม หลังดื่มกินจนเกินพอดี ผมพบว่า ตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับแดดในเช้าวันรุ่งขึ้นได้อย่างสดใส ต่างจากวันวัยในหลายปีที่ผ่านมา ที่สามารถตื่นขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง นอนเอาแรงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็ลุกขึ้นมาลุยงานได้ หรือกระทั่งไม่นอนข้ามวันข้ามคืนก็ได้

แต่ไม่ใช่วันนี้ ที่แค่ไม่นอนเพียงข้ามคืน

ผมก็พบความจริงของร่างกาย

ที่บอกให้รู้ว่า เราอ่อนแอ

 

อ่อนแอลงและถดถอยมากขึ้น ลุกจากที่นอนก็ไม่สดชื่น นั่งคิดเรื่องงานก็ไม่สดใส อาจต้องขอเวลาตั้งเครื่อง และวางระบบร่างกายใหม่ จนวันหนึ่งที่ยอมรับความจริงได้ ผมก็พบว่า ตัวเองต้องเข้าใจร่างกายที่เปลี่ยนไปให้มากกว่านี้ ต้องรู้ว่า ต้องการเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นเพียงใดในวันนี้

ยิ่งเห็นร่างกาย

ยิ่งประสบกับเหตุไม่คาดคิด

ผมยิ่งคิดถึงความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

 

ที่ชีวิตต้องเรียนรู้ เข้าใจ และเตรียมพร้อม เพื่อรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น อยากได้ไม่อยากได้ไม่รู้ ปรารถนาหรือไม่ต้องการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะไม่มาเยี่ยมเยือน เพราะทุกชีวิต ต่างมีเส้นทาง มีลิขิต มีอุบัติ และมีเหตุ ให้ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่แตกต่างกัน จะด้วยเหตุด้วยผลเช่นไร ก็ต้องเผชิญหน้า

เช่นวันหนึ่ง ที่ผมนั่งรถเพลินเพลิน

คิดอะไรต่างต่างไปเรื่อยเปื่อย

จนคิดถึงเพื่อนที่ตายไป

 

คิดถึงวันแรกที่เคยเจอกัน คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงวันเวลาที่เคยเดินทางด้วยกัน คิดถึงการหยอกล้อ จนวันหนึ่งรู้ข่าวว่าเพื่อนจากไป ด้วยเหตุสุดวิสัย และด้วยเหตุที่เหมือนเรื่องราวในนวนิยายหักมุม ผมคิดถึงเพื่อน ด้วยการคิดว่า ถ้าวันนี้เขามีชีวิตอยู่ เขาจะทำความฝันมากมายใด ที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งเพ้อฝันเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ยามนั่งอยู่รอบกองไฟกลางขุนเขา

ขณะที่คิดไปเรื่อย

ผมกลับเห็นรถมอเตอร์ไซต์

ที่กำลังจะแฉลบ และ ลื่นล้มริมถนน

 

สุดท้ายรถที่ผมนั่งก็ผ่านไป เหมือนภาพในฉากหนึ่งของหนัง เมื่อมองภาพเมืองใหญ่จากหน้าต่างกระจกรถเมล์ปรับอากาศ มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่มากมาย หากคิดว่าคนขับรถมอเตอร์ไซต์ที่ล้มลงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา แต่ถ้าคนที่ล้มลงเป็นคนที่เรารู้จัก เป็นญาติพี่น้อง เป็นคนที่เรารัก เราคงคิดมากกับภาพที่มากมายในเมืองใหญ่

ยิ่งคิด ยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิต

ผมยิ่งคิดถึงวันเสื่อมถอยมากมาย

คิดถึงวันที่ตัวเองอ่อนแอ

และคิดว่าจะเตรียมพร้อมเช่นไร หากวันนั้นมาถึง

 

 

หมายเลขบันทึก: 328346เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2010 17:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม 2012 15:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

วัยวันที่ผันผ่าน เวลากาลที่ล่วงเลย กี่คนกันเล่าเอย จึงได้มาถึงวันนี้ ...

...ทำอย่างไรที่จะตระหนักในความแก่เฒ่า และดำรงอยู่ในความเสื่อมถอยเหล่านั้นได้อย่างเข้าใจ

ความเปลี่ยนผันตามวันวัย รับรู้จากมุมมอง ความคิด และกิจกรรมที่ทำ

ส่วนผู้น้อยที่ยังไม่ถึงวัย ก็ได้เข้าใจความรู้สึกของผู้สูงวัยทั้งหลายอย่างถูกต้อง

...

 

 

เป็นข้อเขียน และข้อคิด ที่ดีมากครับ ทำให้เราคิดได้ว่า ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ความแน่ นอน

คีอความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ไม่รู้วันตาย นอกจากเราจะฆ่าตัวตายเอง ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้ คนจำ

เราได้เมึ่อพูดคุยถึงเรา ในทางที่ดี หรือ ทางที่ไม่ดี มันก็อยู่ที่การกระทำของเราเอง/

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท