แม่อายสะอื้นอีกรอบ-กรมการปกครองสั่ง
ระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรแล้ว 17 ราย
เตรียมออกคำสั่งอีก 774 ราย
องค์กรด้านกฎหมาย องค์กรพัฒนาเอกชน
เสนอให้กรมการปกครองชี้แจงการใช้อำนาจตามมาตรา 10 วรรคสี่
ขณะที่อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ
เรียกร้องให้ยกเลิก-เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
เผยแพร่วันที่ 15 ตุลาคม 2552
องค์กรด้านกฎหมาย และองค์กรพัฒนาเอกชนที่สนับสนุนงานด้านปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิ ขอให้กรมการปกครองชี้แจงหลักการ, แนวปฏิบัติของการสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียน (มาตรา 10 วรรคสี่ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551)
14 ตุลาคม 2552 สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ ร่วมกับเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง มูลนิธิกระจกเงา และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ร่วมกันออกจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กรมการปกครอง ต่อกรณีที่กรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักทะเบียนอำเภอแม่อาย มีคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร ต่อชาวบ้าน 17 ราย ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีข่าวว่า อยู่ระหว่างการออกคำสั่งและส่งคำสั่งไปยังชาวบ้านอีกจำนวนร่วม 774 ราย
ทางองค์กรเครือข่ายฯ มีความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของกรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักทะเบียนอำเภออาจเป็นการออกคำสั่งทางปกครองทีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากขัดต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาภายใต้หลักการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพ อันได้แก่ การไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ที่อำเภอแม่อายสามารถออกคำสั่งเรียกให้ชาวบ้านมาได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน อันเป็นหลักทั่วไปแห่งวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามมาตรา 30 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่ได้รับการรับรองคุ้มครองโดยมาตรา 59 ทั้งยังเป็นการประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา 29 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มิใช่ดำเนินการเพียงการตรวจสอบฝ่ายเดียวโดยลำพัง และออกคำสั่งฯ ดังกล่าว
ทางองค์กรเครือข่ายฯ ร่วมกันแถลงว่า “ทางองค์กรเครือข่ายฯ เล็งเห็นถึงและขอชื่นชมความตั้งใจที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ของอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่และกรมการปกครอง ในการดำเนินงานด้านการทะเบียนเพื่อให้เกิดระบบจัดการประชากร รวมถึงการแก้ไขและป้องกันปัญหาฯ ในประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โดยสอดคล้องกับหลักการกระทำทางปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายและหลักนิติรัฐ อีกทั้งยังเป็นการประกันถึงสิทธิเสรีภาพของราษฎรจากการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ”
องค์กรและเครือข่ายฯที่เกี่ยวข้อง ขอเสนอแนะให้กรมการปกครองชี้แจงอย่างชัดเจนต่อสาธารณะถึง
(1) หลักการ/เจตนารมณ์ของมาตรา 10 วรรคสี่ แห่งพ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551
(2) แนวปฏิบัติ/หลักเกณฑ์ในการบังคับใช้มาตรา 10 วรรคสี่
(3) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ถูกออกคำสั่ง รวมถึงแนวทางการเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และ
(4) ขอให้กรมการปกครองมีหนังสือสั่งการไปยังสำนักทะเบียน/เทศบาลทุกแห่งเพื่อชี้แจงหลักการและแนวทางปฏิบัติของมาตรา 10 วรรคสี่ ดังกล่าว
“ทางองค์กรและเครือข่ายฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือคำถามใดๆ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงอำเภอแม่อาย จะไม่กลายเป็นอุปสรรค ลดทอนกำลังใจในการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ด้วยเพราะสังคมไทยจักสามารถเข้มแข็ง มั่นคงได้นั้น การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเป็นสาระสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่ง”
ด้านสภาทนายความ ขอให้ทบทวนและยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการทางทะเบียนราษฎร
9 ตุลาคม 2552 ด้านสภาทนายความ โดยคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น ได้ออกจดหมายถึงอธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายอำเภอแม่อาย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ขอให้ทบทวนและยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการทางทะเบียนราษฎรชาวบ้าน โดยจดหมายระบุว่า ราษฎรอำเภอแม่อายที่ถูกคำสั่งให้ระงับการเคลื่อนทางทะเบียนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ได้ผ่านการพิสูจน์ตนต่อสำนักทะเบียนอำเภอแม่อายแล้วว่าเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยการพิสูจน์นั้นราษฎรได้นำพยานหลักฐานต่างๆ เข้านำสืบพิสูจน์ต่อเจ้าหน้าที่อย่างสมบูรณ์ จนนำมาซึ่งคำสั่งให้เพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนราษฎรในฐานะ “บุคคลซึ่งมีสัญชาติไทย” ดังนั้น การที่สำนักทะเบียนอำเภอแม่อายออกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งมีผลกระทบต่อฐานะทางทะเบียนราษฎรและสิทธิเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อไปประกอบอาชีพหรือดำเนินการต่างๆ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยคุ้มครองและรับรองไว้ ตามมาตรา 4, 26, 27, 28, 29 และมาตรา 30 การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็น คำสั่งทางปกครอง อันหมายถึงการกระทำทางกฎหมายฝ่ายเดียวที่มีผลเจาะจงเฉพาะรายนี้ อาจเป็นการการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยังก่อให้เกิดและ/หรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ได้รับคำสั่งฯ กล่าวคือ
การที่อำเภอแม่อายมีคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนฯ ก่อนที่จะได้รับฟังคำชี้แจงหรือโต้แย้งดังกล่าว เป็นการกระทำทางปกครองที่ขัดต่อหลักความพอสมควรแก่เหตุหรือหลักความได้สัดส่วน เนื่องจากคำสั่งดังกล่าว ควรเกิดขึ้นในกรณีที่มีเหตุหรือน่าเชื่อได้ว่าจะมีเหตุที่มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะอย่างร้ายแรง หากอำเภอแม่อายต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรายการทางทะเบียนของบุคคล ย่อมสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครองตามหลักทั่วไปได้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนฯโดยเรียกให้คู่กรณีได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน ตามมาตรา 30 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือการใช้หลักการไต่สวนในกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วนที่สุด อันเป็นหลักการที่ได้รับการคุ้มครองโดยมาตรา 58 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 แต่อำเภอแม่อายกลับดำเนินการเพียงการตรวจสอบฝ่ายเดียวโดยลำพัง และออกคำสั่งฯ ดังกล่าว
คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ จึงขอให้ทางอำเภอแม่อายดำเนินการทบทวนและยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการทะเบียนราษฎรชาวบ้านแม่อาย ซึ่งทางอำเภอแม่อายสามารถดำเนินการได้เองทั้งการทบทวนความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมของคำสั่งฯ ดังกล่าว ทั้งนี้เป็นไปตามหลักความมั่นคงทางกฎหมาย หลักการต้องเคารพต่อความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง หลักการบริหารงานที่ดี และหลักความเชื่อโดยสุจริตของคู่กรณี เพื่อการใช้อำนาจทางปกครองเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและหลักนิติรัฐ
ดาวน์โหลดจม.ฉบับเต็ม
จม.องค์กรด้านกฎหมาย องค์กรพัฒนาเอกชน เสนอให้กรมการปกครองชี้แจงการใช้อำนาจตามมาตรา 10 วรรคสี่
http://gotoknow.org/file/statelesswatch-swit/2552-10-14-Letter-SWITandNet2DOPA-FINAL.pdf
จม.สภาทนายความ ขอให้ทบทวนและยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการทางทะเบียนราษฎร
http://gotoknow.org/file/statelesswatch-swit/2552-10-09-Letter-LCT2DOPA.pdf
กรมการปกครองชี้แจงการใช้อำนาจตามมาตรา 10 วรรค 4
หลังระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรชาวแม่อายแล้ว
เผยแพร่วันที่ 22 ตุลาคม 2552
องค์กรด้านกฎหมาย และองค์กรพัฒนาเอกชนที่สนับสนุนงานด้านปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิ ส่งจดหมายขอบคุณหลังกรมการปกครองชี้แจงหลักการ, แนวปฏิบัติของการสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียน (มาตรา 10 วรรค 4 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551)
22 ตุลาคม 2552 จากที่สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ ร่วมกับเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง มูลนิธิกระจกเงา และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ร่วมกันออกจดหมายขอบคุณถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กรมการปกครอง ได้มีหนังสือที่พิเศษ 2/2552 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2552 เพื่อขอให้ทางกรมการปกครองดำเนินการชี้แจงต่อกรณีการบังคับใช้มาตรา 10 วรรค 4 หลังจากที่ที่กรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักทะเบียนอำเภอแม่อาย มีคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร ต่อชาวบ้าน 17 ราย ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีข่าวว่า อยู่ระหว่างการออกคำสั่งและส่งคำสั่งไปยังชาวบ้านอีกจำนวนร่วม 774 รายนั้น
ปรากฏว่าทางกรมการปกครองได้ดำเนินการออกหนังสือเวียนที่ มท.0309.1/ว 61 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2552 แล้ว
โดยหนังสือเวียน ระบุขั้นตอนปฏิบัติคือ
1. หลังจากนายทะเบียนได้รับแจ้งหรือได้รับการร้องเรียนหรือตรวจพบว่าการจัดทำหลักฐานทะเบียนราษฎรีดำเนินการโดยมิชอบ โดยอำพรางข้อเท็จจริง หรือข้อความผิดจากความเป็นจริง นายทะเบียนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสอบสวนจากพยานบุคคลและพยานแวดล้อมต่างๆ และอาจจะสอบจะสอบข้อเท็จจริงจากเจ้าของหลักฐานทางทะเบียนราษฎรด้วย
2. จากนั้นให้นายทะเบียนรวบรวมพยานหลักฐานจัดทำความเห็นเสนอต่อนายอำเภอเพื่อพิจารณา โดยเมื่อพิจารณาแล้วเชื่อได้ว่าหลักฐานทะเบียนราษฎรจัดทำโดยไม่ถูกต้องจริง จึงจะสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการไว้ก่อน โดยต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบภายใน 3 วัน โดยต้องแจ้งเป็นหนังสือ ระบุสาระสำคัญ
(1) ข้อเท็จจริงหรือเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่ามีการกระทำโดยมิชอบ
(2) ข้อกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(3) ข้อพิจารณาและเหตุผลในการใช้ดุลพินิจของนายทะเบียน
(4) สิทธิของคู่กรณีในการแต่งตั้งบุคคลอื่นให้ดำเนินการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงแทน
(5) สิทธิของคู่กรณีในการขอดูเอกสารที่จำเป็นสำหรับการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันสิทธิของตน
(6) ระยะเวลาในการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริง กำหนดไว้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
3. ถ้าคู่กรณีไม่โต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่มีเหตุผลสมควร หรือการโต้แย้งและชี้แจงไม่ระบุเหตุผลหรือแสดงพยานหลักฐาน ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นสั่งจำหน่ายรายการทะเบียนราษฎรหรือหรือเพิกถอนหลักฐานทางทะเบียนราษฎร
โดยผลของการสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียน จะเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนงานทะเบียนราษฎร โดยเฉพาะการแจ้งย้ายที่อยู่และมีผลผูกำพันต่อเจ้าของรายการทะเบียนราษฎรที่ถูกคำสั่งระงับการเคลื่อนไหวเท่านั้น
ทางองค์กรเครือข่ายฯ จึงได้ออกจดหมายเพื่อขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณการดำเนินการของกรมการปกครองต่อกรณีดังกล่าว
ดาวน์โหลดจม.ฉบับเต็ม
จม.กรมการปกครองชี้แจงมาตรา 10 วรรคสี่
http://gotoknow.org/file/statelesswatch-swit/2552-10-14-wor61-Dopa.pdf
ไม่มีความเห็น