เมื่อวาน (1 ธันวาคม 2552) ครูโทรมาประมาณแปดโมงเช้า ท่านเล่าถึงเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมี่อคืนท่านบอกว่า
“ขณะที่พี่เดินจากศาลา เข้ากุฏิ ปฏิฆะพุ่ง ๆ ๆ เข้ามาที่ใจ เหมือนอุกาบาท ไม่ต้องไปสนใจนะว่าปฏิฆะมันเป็นยังไง ไม่ต้องไปค้นหา พี่เตือนไว้ก่อน พี่ก็นั่งลงดูมัน
เหมือนดูไฟไหม้ป่า
เคยเห็นเขาดับไฟป่าไหม เขาไม่ได้ใช้น้ำดับนะ
เขาจะทำคูเป็นแนวกั้นไว้ ไม่ให้ไฟมันลาม
เหมือนพี่มีคันคูกั้นไฟป่า แล้วพี่ก็นั่งดูมันไหม้จนมันมอด
กินเวลาประมาณยี่สิบนาที ทำให้เข้าใจคำกล่าวของหลวงปู่ ติชท์ นัท ฮัน ที่ว่า
"จงโอบกอดความโกรธด้วยความรัก”
เป็นอย่างนี้นี่เอง พี่ไม่ได้เล่าอะไรละเอียด ๆ ให้เราฟัง เดี๋ยวเราจะจำ แล้วจะภาวนาลำบาก เมื่อถึงเวลาพี่จะเล่าให้ฟังเอง เหมือนที่พี่ท่านหนึ่งที่วัดเคยบอก ข้างในพี่จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ไม่หวือหวา ไม่ตูมตาม”
ตอนที่ฟังท่านเล่าหนูรู้สึก สาธุด้วย แต่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ แปลกเหมือนกัน หนูรู้แต่ว่าหนูจำสิ่งที่ครูเล่าและเปรียบเปรยได้ แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะเข้าใจ ท่านเล่าด้วยจิตใจที่เบิกบานนิ่งเย็น ใจหนูก็รู้สึกเบิกบาน แม้ตนเองจะไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกได้ถึงความเบิกบาน แปลกเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเครียด แล้วใจหนูก็จะบล๊อก ด้วยความรู้สึกสงสัยและอยากรู้แล้วก็จะค่อย ๆ หนักขึ้น ๆ แต่ครานี้ต่างไปใจเบาขึ้น ไม่รู้เรื่องมากนัก แต่ก็ดูเหมือนข้อมูลมันถูกจำได้โดยอัตโนมัติ อืม.......ทั้ง ๆ ที่หนูก็ไม่รู้ว่า ที่มัน จำได้ เพราะอะไร แล้วจะเอาไปใช้เมื่อไหร่ แต่เหมือนใจมันมีคำว่า ช่างมัน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ ประมาณนี้ค่ะ
แล้วครูท่านก็เล่าต่อว่า
“ใจพี่นิ่งเย็นมาก ๆ”
ครูท่านถอดบทเรียนในตนเองให้หนูฟังว่า
“ก็คือ เหมือนน้ำในโอ่งแล้วพี่ก็ไปกวน ให้ตะกอนในโอ่งฟุ้งขึ้นมา
แล้ว ให้ผู้คนเห็นว่า น้ำที่มีอยู่มันไม่ได้ใสอย่างที่เห็น
คนส่วนใหญ่ที่พี่ช่วยเหลือ เป็นคนที่ใจเปื้อนโคลน เปื้อนแค่ข้างนอก ดวงจิตไม่ได้เปื้อน เหมือนติ๋ว เหมือนหลาย ๆ คนเหมือนที่พี่ชอบเปรียบว่าเป็นการเหยียบขี้หมา ล้างออกแล้วก็แล้ว”
ใจหนูรู้สึกโล่งสบาย และเห็นด้วยกับครูเพราะแทบทุกคนที่ท่านลงมือช่วยเหลือ จากเดิมที่เขาดู อมทุกข์ จมอยู่กับสิ่งที่ตนเองทำ กลายเป็นคนที่มีใจเบิกบาน มีความสุขกับชีวิตที่ดำเนินต่อไป แทบทุกคน
หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน และก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ครูท่านเล่าค่ะ สารภาพตามตรง แต่หนูขอโอกาสใช้พื้นที่นี้เป็นแหล่งเก็บคำสอนของครู ด้วยใจที่เบิกบาน
กราบขอบพระคุณค่ะ
หนูนั่งทบทวนต่อ ที่ครูท่านบอกเกี่ยวคนที่ท่านช่วยเหลือแท้ที่จริงแล้วท่านรู้สึกว่า
ทุก ๆ ที่ ที่ไปทำงาน เหมือนสวมบทบามเป็นผู้ให้ มองนอก ๆเหมือนไปช่วยเขา แต่จริง ๆ พี่ไปเอา ไปเรียนรู้ เหมือนเพียงแค่พี่สมบทบาทสมมุติของนักช่วยเหลือ
อย่างติ๋วก็เหมือนกัน เหมือนติ๋วมาให้ ให้พี่มีโอกาสได้เรียนรู้ มากอบโกยเลยแหละ
ทำให้หนูย้อนคิดถึงเมื่อก่อนที่ครูท่านเคยพูดแบบนี้ ว่ามากอบโกยสิ่งที่ท่านเรียกว่า "บารมี"
แล้วคำพูดหนึ่งของท่านก็ปรากฏขึ้นมาในใจหนูว่า
คนที่เขาเข้ามาหากเรา เขามาให้โอกาส อยู่ที่เรา ทำเป็นเอาเป็นรึเปล่า
มาต่อที่นี่เลยค่ะ=>ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตคือ โอกาส